เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา การจับมือที่อบอุ่นยาวนานระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษ นางเทเรซา เมย์ ที่เมืองดาวอส สร้างความตื่นเต้นแก่สื่อมวลชน
โดยเฉพาะสื่ออังกฤษที่มองว่า การจับมือกันของสองผู้นำเเสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่ลุ่มๆ ดอนๆ มาก่อนหน้านี้ กลับดีขึ้นเเล้ว
สื่อมวลชนยุโรปวิเคราะห์การจับมือระหว่างนายทรัมป์กับนางเมย์ มากพอๆ กับการจับมือเเน่นเเบบไม่ยอมปล่อยระหว่างนายทรัมป์กับนายเอ็มมานูเอล มาคร็อง ผู้นำเเห่งฝรั่งเศส ที่นาน 30 วินาที ซึ่งหลายคนมองทางสัญลักษณ์ว่าเป็น “การประลองกำลัง” ระหว่างชายผู้นำทั้งสองคน
ภาพการจับมือของทั้งสองผู้นำ ถูกตีพิมพ์เป็นภาพพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์หลายฉบับในกรุงลอนดอน
หนังสือพิมพ์ เดอะ เดลลี่ เอ็กเพรส (The Daily Express) พาดหัวเป็นคำถามว่า “เมย์น่าจะปลดเขี้ยวเล็บทรัมป์ได้แล้ว” เเละยังอ้างคำพูดของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายคนหนึ่งในเนื้อหาข่าวด้วยว่า ทรัมป์เดินทางไปถึงการประชุมเศรษฐกิจ ที่เมืองดาวอส สวิสเซอร์เเลนด์ เยี่ยงนักล่ารางวัลจอมโอ้อวด
เเต่ในตอนร่วมเเถลงข่าวกับผู้นำหญิงของอังกฤษ ทรัมป์ดูสงบเสงี่ยมเเละมีท่าทีที่เคารพต่อผู้อื่นมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายคนนี้ยังกล่าวด้วยว่า ในระหว่างการพูดในการเเถลงข่าวร่วมกับผู้นำอังกฤษ ทรัมป์มองตาผู้นำอังกฤษ เเละยังพูดค่อนข้างโรเเมนติกว่า ตนเองจะคอยช่วยเหลืออังกฤษอยู่เสมอ เเละตนรู้ดีว่าผู้นำอังกฤษรับรู้ดีในเรื่องนี้
ทางด้านสถานีโทรทัศน์ สกาย นิวส์ (Sky News) ของอังกฤษ ก็สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายเช่นกัน เพื่อให้ช่วยเเปลความหมายการประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ เเละผู้นำอังกฤษเป็นครั้งเเรกหลังมีการโต้คารมกันทางทวิตเตอร์ หลังจากนายทรัมป์นำข้อความต่อต้านคนมุสลิมของกลุ่มขวาจัดในอังกฤษโพสต์ไปเผยเเพร่ต่อทางทวิตเตอร์ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ผู้นำอังกฤษกล่าวตอบโต้ว่าทรัมป์ทำไม่ถูกต้อง
การจับมือกับระหว่างผู้นำจึงมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ เเละอังกฤษ และมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิมต่ออังกฤษ ในห้วงที่ประเทศกำลังพยายามดิ้นรนสร้างบทบาทใหม่แก่ตนเอง หลังการเเยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในอนาคตอันใกล้
ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ จะช่วยทดแทนมูลค่าทางการเงินที่อังกฤษจะสูญเสียจากการเเยกตัวจากอียู ซึ่งเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษในขณะนี้
บรรดาผู้ช่วยของนางเมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต่างกล่าวว่า การสร้างความสัมพันธ์ที่เเนบเเน่นกับสหรัฐฯ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสำเร็จของอังกฤษในการเเยกตัวจากอียู
การเเสดงความเป็นมิตรต่อกันระหว่างนางเมย์เเละนายทรัมป์ต่อสาธารณชนครั้งนี้ที่เมืองดาวอส สร้างความโล่งอกแก่ทั้งเจ้าหน้าที่ทางการอังกฤษกับสื่อมวลชนของประเทศ เพราะมีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากผู้นำสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกการเดินทางไปกรุงลอนดอนในเดือนหน้า เพื่อทำพิธีเปิดอาคารที่ทำการแห่งใหม่ของสถานทูตสหรัฐฯ ในเมืองหลวงของอังกฤษ
การประกาศยกเลิกนี้มีขึ้นหลังจากการเเสดงความคิดที่เเตกต่างกันหลายครั้งระหว่างผู้นำทั้งสอง ซึ่งรวมถึงเรื่องอิหร่านเเละการเปิดเผยข้อมูลข่าวกรอง
ด้านอังกฤษมองว่า การจับมือที่อบอุ่นระหว่างผู้นำของตนกับนายทรัมป์เป็นการยืนยันความจริงใจระหว่างผู้นำสองประเทศ ซึ่งถือเป็นรางวัลเเก่ประเทศ
เเต่หลายคนสงสัยว่า ทำไมลักษณะการจับมือกันของผู้นำจึงมีความสำคัญมากขนาดนั้น?
บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า ที่สำคัญก็เพราะว่าภาษากายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญในงานด้านการทูตระหว่างประเทศ
ในปี ค.ศ. 2014 หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ (USA Today ) เปิดเผยว่า ทางกองทัพสหรัฐฯ ได้ตั้งทีมวิจัยขึ้นเพื่อศึกษาการเคลื่อนไหวทางกายต่างๆ ของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เเละผู้นำชาติอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวภาษากายของผู้นำโลก เพื่อวิเคราะห์ความจริงใจเเละเพื่อคาดเดาสิ่งที่พวกเขาจะตัดสินใจทำในอนาคต
เเต่ดูเหมือนว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการในยุโรปเเละสื่อมวลชนในภาคพื้น ต่างใส่ใจเป็นพิเศษกับภาษาทางกายของนายทรัมป์ มากกว่าผู้นำสหรัฐฯ คนก่อนหน้า
นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า นั่นเป็นเพราะว่าภาษากายของนายทรัมป์ไม่เหมือนใครเ เละคาดเดายากกว่าภาษากายของบรรดาผู้นำสหรัฐฯ หลายคนก่อนหน้านี้
ส่วนนักวิเคราะห์อีกหลายคนชี้ว่า นั่นเป็นเพราะว่าสื่อมวลชนในยุโรปกำลังพยายามเข้าใจนักการเมืองสหรัฐฯ คนนี้ ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือเเก่การเมืองสหรัฐฯ เเละนโยบายต่างประเทศ เเละยังท้าทายความคาดหวังต่างๆ ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม
ด้านอดีตผู้ช่วยของทรัมป์ แซม นันเบริ์ก (Sam Nunberg) กล่าวเเย้งเมื่อปีที่เเล้วว่า จริงๆ เเล้ว ทรัมป์ชอบทำให้คนคาดเดาต่างๆ นานา เเละทรัมป์รู้ดีว่าตนเองกำลังใช้ภาษากายอย่างไร
เขากล่าวเสริมว่า คงไม่มีผู้นำคนใดที่เป็นนักเเสดงได้ดีกว่าทรัมป์
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)