แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยันกับรอยเตอร์ในวันอังคารว่า ตนยินดีที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางการเดินหน้าแผนปฏิรูปต่าง ๆ ที่ทางพรรคได้เสนอไว้เพื่อให้ได้รับการรับรองขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาล แต่ยืนยันว่า จะไม่มีวันยอมยกเลิกความตั้งใจที่จะเดินหน้าปรับเปลี่ยนมาตรา 112 เป็นอันขาด
ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับรอยเตอร์ก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในวันพุธที่ 19 กรกฎาคม นายพิธา ระบุว่า ความพยายามของฝ่ายที่มีกองทัพหนุนหลังเพื่อสกัดกั้นตนไม่ให้ขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลนั้นเป็นเหมือน “แผ่นเสียงตกร่อง” และว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคศักราชใหม่ที่ประชาชนปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว
นายพิธา กล่าวว่า “[การลงมติครั้งแรก]เป็นไปตามคาดไว้ไม่มีผิด เรื่องเดิม ๆ แบบเดิม ๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่อง แต่ความรู้สึกของยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว” และว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ สังคมได้เริ่มเดินไปข้างหน้าแล้ว และเรียกร้องสิ่งใหม่ ๆ ด้วย โดยไม่เหมือนช่วงทศวรรษที่ผ่านไปที่ทุกคนต้องผ่านเวลาอันยากเข็ญมา ... ผมคิดว่า นั่นคือ คำนิยามของความปกติใหม่ เมื่อเราพูดถึงการเมืองไทย”
แม้พรรคก้าวไกลจะสามารถกวาดเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุดในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม และได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เห็นด้วยกับแผนการปฏิรูปต่าง ๆ แคนดิเดตนายกฯ วัย 42 ปีนี้ไม่สามารถเรียกเสียงโหวตจากสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลรักษาการได้ตามเป้า โดยมีวุฒิสมาชิกเพียง 13 คนที่ออกเสียงสนับการเสนอชื่อของนายพิธา ในการลงมติเมื่อสัปดาห์ก่อน
ในสัปดาห์นี้ นายพิธาร้องขอให้สมาชิกสภาสูงของไทยพิจารณาการลงมติให้ดีอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า คะแนนเสียงของแต่ละคนนั้นไม่ใช่เพื่อตัวของเขาแต่เพื่อหลักการแห่งประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า “มันคงเป็นความแปลกประหลาดที่ไม่สมเหตุสมผลที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเหนือ[พรรคที่ชนะเป็นอันดับสอง] ถึง 4 ล้านเสียง ถึง 10% จะกลายมาเป็นผู้นำฝ่ายค้าน และไม่ได้แม้จะเป็นสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล ... เราคงอธิบายให้ทั่วโลกฟังไม่ได้”
และแม้จะต้องเผชิญอุปสรรคที่รออยู่ต่าง ๆ ตั้งแต่ความพยายามของวุฒิสมาชิกบางรายที่แย้งว่า ไม่ควรมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ซ้ำรอบสอง ไปจนถึงการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญต่อคำฟ้องให้ประกาศว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกลขาดคุณสมบัติเพราะกรณีการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อ นายพิธา ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลจะยังเดินหน้าทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ทั้งเรื่องการเสนอญัตติแก้ไขมาตรา 112 การจัดการกับประเด็นการผูกขาดในภาคธุรกิจ รวมทั้งการยกเลิกการเกณฑ์ทหารและการทำให้กองทัพและการเมืองแยกจากกัน
ทั้งนี้ นายพิธา ยืนยันว่า การแก้ไขมาตรา 112 นั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันเบื้องสูงของไทย แต่มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า กฎหมายดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างผิด ๆ พร้อมกล่าวเสริมว่า หนทางที่พรรคก้าวไกลพิจารณาในการเดินหน้าแผนงานนี้มีความยืดหยุ่นอยู่ และว่า ในที่สุดแล้ว ประเด็นดังกล่าวเป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการตัดสินขั้นสุดท้ายอยู่ดี
แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ยังกล่าวด้วยว่า “ผมขอยึดมั่นในสิ่งที่ผมได้สัญญาไว้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งว่า จะทำให้มั่นใจว่า ถ้าเรายังเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นกระทำผิดมิได้ ... สถาบันฯ นั้นอยู่เหนือการเมือง และผมก็จะไม่ปล่อยให้[ประเด็นนี้]เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทำลายคู่แข่งทางการเมืองเป็นอันขาด”
- ที่มา: รอยเตอร์