หลังจากที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติไม่ถอดถอนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รอบที่สอง เมื่อวันเสาร์ ดูเหมือนยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่ออนาคตทางการเมืองของทรัมป์ และความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตที่ยังไม่จางหายไป
วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียง 57 - 43 ซึ่งหมายความว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ถูกถอดถอนย้อนหลังจากข้อกล่าวหาว่าทำการปลุกปั่นผู้สนับสนุนของตนให้ก่อเหตุจลาจลในกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 6 มกราคม ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ก่อเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอาคารรัฐสภา รวม 5 คน
การที่จะลงมติชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีความผิดและสมควรถูกถอดถอนนั้น จะต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา คือ 67 คน ประกอบด้วยสมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวน 50 คน และต้องการเสียงจากสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันอย่างน้อยอีก 17 คน แต่ผลการลงมติชี้ว่ามีวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 7 คนที่ออกเสียงสนับสนุนให้ถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
ก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจของ Reuters/Ipsos ชี้ว่า 71% ของคนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ เชื่อว่าทรัมป์มีส่วนรับผิดชอบในเหตุจลาจลที่รัฐสภา โดยในส่วนของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันนั้น มีอยู่ราวครึ่งหนึ่งที่คิดว่าทรัมป์สมควรมีส่วนรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนทรัมป์หลายคน เช่นคุณเชลล์ เรนิช เชื่อว่าการลงมติถอดถอนประธานาธิบดีที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้วนั้น เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ในขณะที่คุณบาร์บารา เพอร์รี นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนีย กล่าวว่า มีผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันอยู่ราว 70% ที่ยังเชื่อว่า โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งอย่างไม่โปร่งใส
คุณบาร์บารา เพอร์รี ยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนทรัมป์ต่างได้นโยบายที่พวกเขาต้องการไปแล้ว เช่น อัตราภาษีต่ำ กฎเกณฑ์ที่น้อยลง การมีตุลาการศาลสูงส่วนใหญ่ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ตลอดจนนโยบายต่างประเทศเชิงรุก และการควบคุมตามแนวพรมแดน
ส่วนคุณเอเลน คามาร์ค แห่งสถาบัน Brookings ให้ความเห็นว่า ในส่วนของพรรคเดโมแครตและประธานาธิบดีนั้นก็กำลังเผชิญแรงกดดันเรื่องการควบคุมการระบาดของโควิด-19 การแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เรื่องการผสานความแตกแยกภายในพรรคดูจะเป็นภารกิจที่รองลงมา
ถึงกระนั้น สิ่งที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองส่วนใหญ่เห็นตรงกัน คืออนาคตทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยังคงเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่นอน
เพราะในขณะที่ทรัมป์ยังคงมีเสียงสนับสนุนมากมายจากกลุ่มฐานคะแนนจนอาจจะทำให้เขาชนะการเลือกตั้งได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2024 แต่ในทางกลับกันเขาก็มีโอกาสเผชิญคดีความมากมายหลังจากพ้นตำแหน่งไปแล้วทั้งคดีทางธุรกิจและการเมือง ซึ่งก็อาจส่งผลให้เขาถูกตัดสินลงโทษหรืออาจต้องลี้ภัยไปต่างประเทศได้เช่นกัน
ที่ผ่านมา ทรัมป์เน้นย้ำแกมข่มขู่ว่าตนจะจัดการนักการเมืองสังกัดรีพับลิกันที่แปรพักตร์ไปสนับสนุนให้ถอดถอนตน และเมื่อวันเสาร์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังทบทวนอนาคตทางการเมืองของตน แต่ยังมิได้เปิดเผยรายละเอียดแต่อย่างใด