ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ไบเดนลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ ปกป้องสิทธิการทำแท้ง


FILE - President Joe Biden signs an executive order to help safeguard women's access to abortion and contraception, as Vice President Kamala Harris, Health and Human Services Secretary Xavier Becerra and Deputy Attorney General Lisa Monaco look on.
FILE - President Joe Biden signs an executive order to help safeguard women's access to abortion and contraception, as Vice President Kamala Harris, Health and Human Services Secretary Xavier Becerra and Deputy Attorney General Lisa Monaco look on.

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่เมื่อเย็นวันพุธ เพื่อปกป้องสิทธิในการเข้าถึงการทำแท้งและการดูแลด้านสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดในการต่อสู้กับคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ที่คว่ำสิทธิการทำแท้งเสรีของสตรีชาวอเมริกันที่ใช้มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1973

การลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในหลายรัฐได้เข้าคูหาเพื่อเลือกตั้งขั้นต้นก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และบางรัฐมีการลงประชามติเรื่องสิทธิในการทำแท้งในรัฐนั้น ๆ พ่วงไปด้วย

โดยคำตัดสินดังกล่าวของศาลสูงส่งผลให้รัฐต่าง ๆ มีอิสระในการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการทำแท้งในรัฐนั้น ๆ เองตามความเหมาะสม

ที่รัฐแคนซัส เมื่อวันอังคาร ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ลงคะแนนเสียงให้รักษาสิทธิในการทำแท้งภายในรัฐนั้นไว้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนอเมริกันมีโอกาสออกเสียงในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิการทำแท้ง นับตั้งแต่ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินดังกล่าวเมื่อเดือนมิถุนายน

อย่างไรก็ตาม 13 รัฐได้ตัดสินใจใช้กฎหมายห้ามการทำแท้งแล้วหลังคำตัดสินของศาลสูง แม้แต่ในกรณีที่ผู้ทำแท้งถูกข่มขืนหรือการตั้งครรภ์จากผู้ที่มีพันธุกรรมใกล้ชิดกันก็ตาม

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อีก 4 รัฐ คือ แคลิฟอร์เนีย เคนทักกี มิชิแกน และเวอร์มอนต์ จะลงประชามติในกฎหมายนี้เช่นกัน

ทั้งนี้ คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ที่ปธน.เพิ่งลงนาม จะช่วยรับประกันสิทธิของสตรีที่ต้องการเดินทางไปรัฐอื่นเพื่อทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย โดยก่อนการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพุธ ปธน.ไบเดน กล่าวว่า "แม้แต่ชีวิตของผู้ที่ตั้งครรภ์ก็อาจตกอยู่ในความเสี่ยงในบางกรณีและในบางรัฐ"

นับเป็นคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับที่สองเกี่ยวกับสิทธิการทำแท้งของสตรีอเมริกันที่ปธน.ไบเดน ได้ลงนามไว้ นับตั้งแต่ศาลสูงมีคำตัดสินออกมา โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ไบเดนได้ลงนามในคำสั่งฉบับแรกที่รับรองสิทธิในการเข้าถึงการคุมกำเนิดฉุกเฉินและการรักษาสืบเนื่องจากการทำแท้ง

"สมาชิกรีพับลิกันในคองเกรสที่มีแนวคิดขวาสุดโต่งแบบ MAGA (Make America Great Again) พยายามคว่ำสิทธิการทำแท้งทั่วประเทศเพื่อทำให้การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมายในทุกรัฐ ทุกกรณี แต่การต่อสู้ยังไม่จบ ดังที่เราได้เห็นแล้วที่รัฐแคนซัส"

FILE - Abortion-rights supporters react as early polls showed that voters rejected a state constitutional amendment that would have declared there is no right to abortion, at a Kansans for Constitutional Freedom election watch party in Overland Park, Kan., Aug. 2, 2022.
FILE - Abortion-rights supporters react as early polls showed that voters rejected a state constitutional amendment that would have declared there is no right to abortion, at a Kansans for Constitutional Freedom election watch party in Overland Park, Kan., Aug. 2, 2022.

เมื่อวันอังคาร ชาวรัฐแคนซัสลงคะแนนเสียงเกือบ 59% คัดค้านข้อเสนอให้ปรับแก้รัฐธรรมนูญของรัฐเพื่อให้ถอดถอนการปกป้องสิทธิการทำแท้งออกไป ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของสำนักวิจัย พิว (Pew) ที่ชี้ว่า ประชากรวัยผู้ใหญ่ในอเมริการาว 61% ระบุว่า การทำแท้งไม่ควรเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ชี้ว่า 91% ของการทำแท้งในอเมริกา เกิดขึ้นเมื่อตัวอ่อนทารกมีอายุไม่ถึง 13 สัปดาห์ ขณะที่ผลวิจัยของ Kaiser Family Foundation พบว่า การทำแท้งเมื่อทารกมีอายุมากกว่า 21 สัปดาห์นั้น มีอัตราส่วนไม่ถึง 1% ของการทำแท้งทั้งหมดในสหรัฐฯ

  • ที่มา: วีโอเอ
XS
SM
MD
LG