ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้การต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ทำเนียบขาว โดยการเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของผู้นำรัฐบาลกรุงเคียฟนับตั้งแต่รัสเซียส่งกองทัพรุกรานยูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์
ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวต้อนรับประธานาธิบดีเซเลนสกีว่า "ประชาชนยูเครนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ ด้วยความกล้าหาญและการเลือกแนวทางในการจัดการอนาคตของพวกเขาเอง" และว่า "ชาวอเมริกันยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจร่วมกับชาวยูเครน"
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า "ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างร่วมยืนหยัดกับพันธมิตรในยุโรปและญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ เพื่อรับประกันว่ายูเครนจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน มนุษยธรรมและความมั่นคงเท่าที่ต้องการ" และว่าเป็นเวลา 300 วันแล้วที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เริ่มการโจมตีอย่างโหดร้ายต่อสิทธิของยูเครนในฐานะความเป็นประเทศ"
ทางด้านประธานาธิบดีเซเลนสกี กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนและประชาชนอเมริกัน ในฐานะตัวแทนของชาวยูเครนทั้งประเทศ
ผู้นำยูเครนยังได้มอบเหรียญ Cross for Military Merit ให้แก่ปธน.ไบเดน ซึ่งเป็นเหรียญของหนึ่งในผู้บัญชาการทหารยูเครนที่เป็นผู้นำกองกำลังปืนใหญ่ HIMARS ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้จัดส่งให้แก่ยูเครนก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ คณะทำงานของประธานาธิบดีไบเดน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือระหว่างสองผู้นำ ครอบคลุมประเด็น “การหารือเชิงกลยุทธ์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการรบ” รวมทั้งเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์และการฝึกทหาร และความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และด้านมนุษยธรรม ที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจะจัดหาให้กับยูเครน และว่า “ประธานาธิบดีไบเดนจะมีโอกาสตอกย้ำว่าการสนับสนุนนี้จะไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่คือสิ่งที่เราจะทำในวันนี้ และจะเดินหน้าทำต่อไป”
ต่อจากทำเนียบขาว ปธน.เซเลนสกี เดินทางไปขึ้นกล่าวปราศรัยต่อหน้าสมาชิกสภาคองเกรสที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงค่ำวันพุธ
ปธน.เซเลนสกี ซึ่งไม่มีรายงานว่าเคยเดินทางออกนอกยูเครนมาก่อนหลังจากสงครามปะทุขึ้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพิ่งเดินทางออกนอกกรุงเคียฟเมืองหลวงยูเครนเมื่อวันอังคาร ในการเยือนบาคห์มุตที่กองทัพยูเครนปะทะกับกองทัพรัสเซียอย่างหนัก
ที่ผ่านมา ผู้นำยูเครน ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร จัดหาระบบป้องกันตนเองทางอากาศที่สามารถช่วยยูเครนรับมือกับการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนจากกองทัพรัสเซีย ที่ถล่มหลายเมืองและทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานยูเครนทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ประกาศความช่วยเหลือด้านการทหารรอบใหม่ให้กับยูเครน รวมทั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ แพทริออต (Patriot) ให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็นระบบป้องกันตนเองทางอากาศที่มีความก้าวล้ำกว่าที่ยูเครนเคยใช้มาก่อนหน้านี้
ด้านโฆษกรัฐบาลเครมลิน ดมิทรี เพสคอฟ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพุธว่า การส่งมอบอาวุธชุดใหม่ให้กับยูเครน จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งร้าวลึกไปอีก และว่ารัสเซียมองไม่เห็นหนทางในการเจรจาสันติภาพกับยูเครนเลย
การเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครนครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันเรื่องมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินให้แก่ยูเครนอีก 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ความช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนมีมูลค่ามากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์
ผลสำรวจความเห็นล่าสุดที่จัดทำโดย Chicago Council ชี้ว่า ชาวอเมริกัน 65% ยังคงให้การสนับสนุนความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้แก่ยูเครน และ 48% บอกว่า สหรัฐฯ ควรช่วยเหลือยูเครนไปอีกนานเท่าที่จำเป็น ขณะที่ 47% ต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งเร้าให้ยูเครนสร้างสันติภาพกับรัสเซียโดยเร็วที่สุด
นอกเหนือจากการเดินทางเพื่อมาหารือถึงกรุงวอชิงตันแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า การเยือนสหรัฐฯ ของปธน.เซเลนสกี มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ต่อสหรัฐฯ ยูเครน และประเทศอื่น ๆ ในโลก และเป็นการหยิบยื่นโอกาสในการ “เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อยูเครน” และว่า “นี่คือการส่งข้อความไปยังปูตินและส่งข้อความไปยังโลกว่า อเมริกาจะยังอยู่ตรงนี้เพื่อยูเครนตราบเท่าที่สถานการณ์ยังดำเนินอยู่” และว่า “ประธานาธิบดีปูตินคำนวณผิดพลาดมหันต์ในการเริ่มต้นความขัดแย้ง เมื่อเขาสันนิษฐานว่าชาวยูเครนจะยอมจำนนและนาโต้จะแตกแยกกัน เขาคิดผิดทั้งสองข้อนี้ เขายังคงคิดผิดเกี่ยวกับอำนาจที่มีอยู่ของเรา และนั่นคือสิ่งที่การเยือนครั้งนี้จะแสดงให้เห็น”
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานปธน.ไบเดน ระบุว่า สิ่งที่จะไม่อยู่ในวาระการเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครน คือ การผลักดันให้ยูเครนเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อยุติสงครามที่รัสเซียเป็นฝ่ายก่อขึ้น แต่จะช่วยเหลือยูเครนให้อยู่ในบทบาทที่ดีกว่านี้เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าสู่การเจรจา และยังระบุด้วยว่ารัสเซียสามารถยุติสงครามได้ทุกเวลาด้วยการถอนทหารออกจากยูเครน และว่ารัสเซียไม่ได้แสดงเจตจำนงในการทำเช่นนั้นหรือเข้าร่วมการเจรจาอย่างจริงจังใด ๆ
ที่มา: วีโอเอ
