ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ต่างมีปัญหาเรื่องอื้อฉาวภายในประเทศให้ต้องคิดขบแก้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามทั้งสองไม่ใช่คนหน้าใหม่ เพราะนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเป็นผู้นำต่างชาติที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พบและหารือด้วยบ่อยที่สุด และผู้นำทั้งสองก็มีความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับเกาหลีเหนือด้วย
จากแผนการพบปะระหว่างผู้นำของสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนนี้ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นต้องการให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันท่าทีเรื่องการกดดันเกาหลีเหนือต่อไป รวมทั้งต้องการจะขอคำมั่นจากสหรัฐฯ ด้วยว่าจะไม่มีข้อตกลงใดๆ กับเกาหลีเหนือ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงของญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้ได้พึ่งพาการปกป้องคุ้มครองด้านนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ รวมทั้งมีกำลังทหารสหรัฐฯ อยู่ในประเทศหลายหมื่นคน
ในเรื่องการค้า รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการให้หลีกเลี่ยงหากประธานาธิบดีทรัมป์จะเชื่อมโยงเรื่องการเจรจาการค้าใดๆเข้ากับประเด็นด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นหลักการในนโยบายการทูตของสหรัฐฯ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
เพราะในช่วงหลังนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวบ่อยครั้งว่าประเทศพันธมิตรทางทหารของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้นั้นควรเข้ามาช่วยแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังรู้สึกผิดหวังที่แม้ประเทศทั้งสองจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดก็ตาม แต่รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ไม่ได้ยกเว้นญี่ปุ่นจากการขึ้นภาษีสินค้าเข้าประเภทเหล็กกล้าหรืออะลูมิเนียม
นายแลรี่ คุดโรว์ ที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่แน่นอนว่าสหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงการค้า TPP ซึ่งมีญี่ปุ่นร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ แต่ก็เสริมว่าจำต้องมีการสร้างกลุ่มพันธมิตรด้านการค้าระดับโลก เพื่อเป็นป้อมปราการต่อต้านการปฏิบัติด้านการค้าอย่างไม่เป็นธรรมของจีน
