หลังการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน คนอเมริกัน 54% ซึ่งตอบการสำรวจความเห็นของมหาวิทยาลัย Quinnipiac เชื่อว่า การหารือดังกล่าวช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์ได้
ขณะที่ 37% เห็นว่าการพบปะหารือนี้ไม่ได้ทำให้โอกาสการเกิดสงครามลดน้อยลง
นอกจากนั้น 57% ของคนอเมริกัน ไม่คิดว่าการหารือระดับผู้นำครั้งนี้จะนำไปสู่สันติภาพระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ และ 70% ของผู้ตอบคำถามเหล่านี้ก็ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์หลังการประชุมที่ว่า เกาหลีเหนือไม่เป็นภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์อีกต่อไป
หลังการประชุมสุดยอดกับผู้นำเกาหลีเหนือที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ประธานาธิบดีทรัมป์ กับ นายคิม จอง อึน ได้ร่วมลงนามในเอกสารที่ประกาศว่าประเทศทั้งสองจะทำงานเพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีอย่างสมบูรณ์ และจะพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้น
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านมานั้นเกาหลีเหนือเคยให้สัญญาจะยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติตาม
สำหรับคำถามที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์สมควรได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพสำหรับปีนี้หรือไม่ 66% ของผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจของ มหาวิทยาลัย Quinnipiac ไม่เห็นด้วย ซึ่งก็ดูจะเป็นทัศนะที่ตรงกันข้ามกับความพยายามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ของพรรครีพับลิกัน 18 คน ที่ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลโนเบลเมื่อเดือนพฤษภาคม เพื่อเสนอชื่อประธานาธิบดีทรัมป์ให้คณะกรรมการนี้พิจารณาอย่างเป็นทางการ
สำหรับในเรื่องการทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดี 52% ของคนอเมริกันไม่ยอมรับผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อเทียบกับ 43% ที่สนับสนุน และคนอเมริกันในสัดส่วนที่พอๆ กัน คือ 53% กล่าวว่าตนเชื่อมั่นการรายงานข่าวของสื่อมวลชนมากกว่าในตัวประธานาธิบดีทรัมป์
โดย 65% ของคนอเมริกันเหล่านี้เห็นว่า สื่อมวลชนเป็นส่วนสำคัญของระบบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวโจมตีสื่อมวลชนชั้นนำของสหรัฐฯ อย่างเช่น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ และสำนักข่าว CNN ว่ามีอคติต่อตน โดยเมื่อต้นปีที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับทวีตข้อความกล่าวหาสื่อมวลชนว่าเป็นศัตรูของประชาชนอเมริกันด้วย
และเนื่องจากปีนี้เป็นปีของการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ รวมทั้งหมด 435 ตำแหน่ง และจะมีการเลือกวุฒิสมาชิกหนึ่งในสามหรือ 35 ตำแหน่ง จากที่มีอยู่ทั้งหมด 100 ตำแหน่ง
ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัย Quinnipiac พบว่า คนอเมริกันจำนวนมากกว่า คือ 49% ต้องการให้พรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งและมีเสียงข้างมากในทั้งสภาล่างและสภาสูงของสหรัฐฯ ในขณะที่ผู้ต้องการให้พรรครีพับลิกันยังสามารถคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาอยู่ต่อไปนั้นมีอยู่ราว 43% ถึง 44 %
ขณะนี้พรรคเดโมแครตต้องการวุฒิสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกสองที่นั่ง เพื่อคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา และต้องการที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 24 ที่เพื่อคุมเสียงข้างมากในสภาล่าง
เมื่อวันพุธ นายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของพรรครีพับลิกันมาก่อน ได้ประกาศให้เงินช่วยเหลือส่วนตัว 80 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยสมาชิกของพรรคเดโมแครตหาเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ปลายปีนี้