ลิ้งค์เชื่อมต่อ

นักวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชให้เก็บกักแก๊สคาร์บอนได้ถาวร


ในการสังเคราะห์แสง พืชใช้พลังงานที่ได้จากเเสงอาทิตย์ในการดูดซึมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศเเละเมื่อรวมเข้ากับน้ำ พืชก็จะสร้างน้ำตาลเพื่อการเจริญเติบโต

และในกระบวนการนี้ พืชจะปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมาเเละเก็บกักแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในเนื้อเยื่อ รวมทั้งในราก หลังจากนั้น พืชจะค่อยๆปล่อยแก๊สคาร์บอนออกมาขณะที่เจริญเติบโตเเละเมื่อตายลงเเละเริ่มเน่าสลาย แต่ยังมีเเก๊สคาร์บอนส่วนหนึ่งคงอยู่ในดิน

กระบวนการชีววิทยาของพืชนี้เป็นเเรงบันดาลใจให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันซอล์ก ที่ซานดิเอโด รัฐเเคลิฟอร์เนีย ให้ทำการโปรแกรมพืชให้สร้างแก๊สคาร์บอนที่มีความเสถียรมากขึ้นเพื่อกักเก็บเอาไว้ลึกในใต้ดินเป็นการถาวร

โจเซฟ โนเอ ศาสตราจารย์ที่สถาบันซอล์ก กล่าวว่า ตอนเป็นเด็ก เขาเติบโตในทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย เขาชอบทำสวนมาก คุณยายเเละคุณทวดสอนเขาปลูกสวนผักทุกฤดูร้อน และเขาได้ฝึกฝนการทำปุ๋ย และจำได้ว่าเคยนำฝาจุกขวดเหล้าไวน์ใส่ไว้ในปุ๋ยหมักเพราะคิดว่าเป็นไม้ และน่าจะย่อยสลายได้ แต่พบว่าฝาขวดเหล้าไวน์ไม่ย่อยสลาย

ฝาจุกขวดเหล้าไวน์มีสารซูเบอร์ริน (suberin) ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำในปริมาณที่สูง สารนี้พบในพืชเกือบทุกชนิด เเละช่วยป้องกันรากของพืชจากการเน่าสลาย และคุณสมบัตินี้นี่เองที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าอาจนำไปใช้ในการเก็บกักแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้พื้นดินและช่วยอนุรักษ์โลกเอาไว้

โนเอล กล่าวว่า การฝังแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดินจะยิ่งเป็นผลดีต่อพืช เพราะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต เเละเป็นผลดีต่อระบบนิเวศวิทยา หรือแก่ที่ดินทำการเกษตร เนื่องจากการมีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในดินในระดับสูงจะมีผลดีต่อสิ่งเเวดล้อม

ขณะนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันซอล์ก กำลังหาทางพัฒนาระบการทำงานที่จะช่วยให้พืชผลิตสารซูเบอร์รินได้มากขึ้น

ห้องทดลองของสถาบันซอล์กเลียนแบบสภาพภูมิอากาศหลายโซนด้วยกัน เพื่อหาทางพัฒนาพืชที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพื้นที่ในส่วนต่างๆ ของโลก ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานเเละต้องใช้ความพยายามมาก

เมื่อเร็วๆนี้ สถาบันซอล์กได้ซื้อหุ่นยนต์ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันในการทำงานที่นักวิจัยต้องใช้เวลาทำถึง 5 สัปดาห์

ทีมนักวิจัยใช้วิธีการผสมพันธุ์พืชแบบดั้งเดิมในการผลิตพืชอาหารที่มีความสามารถในการเก็บกักแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณที่สูงขึ้น แต่ในอนาคต ทีมนักวิทยาศาสตร์อาจจะหันไปใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม

วูล์ฟเเกง บูสช์ รองศาสตราจารย์แห่งสถาบันซอล์ก กล่าวว่า ในโครงการนี้ ทีมงานใช้การวิธีดั้งเดิมในการคิดค้นพันธุ์พืชขึ้นมาใหม่ โดยใช้พันธุกรรมที่หลากหลายเเละเเตกต่างกัน ซึ่งมีอยู่เเล้วในธรรมชาติ เพื่อให้พืชพันธุ์ใหม่ผลิตสารกันน้ำมากขึ้น ในขณะนี้ จึงยังไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตกแต่งพันธุกรรมพืช แต่ในอนาคต อาจต้องใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมเข้ามาช่วยเพราะทำได้เร็วกว่ามาก ทำให้ประหยัดเวลาการทำงานลงมากได้อย่างมาก เพราะปัญหาภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้นเเละเราไม่สามารถรอนานได้ในการหาทางแก้ปัญหานี้

ในอีกห้าปีข้างหน้า นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะสามารถพัฒนาพืชขึ้นมาได้หลายชนิด เพื่อให้เหมาะกับการนำไปปลูกในพื้นที่แต่ละส่วนของโลก เพื่อช่วยลดระดับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลง

XS
SM
MD
LG