ลิ้งค์เชื่อมต่อ

รายงานชี้ครึ่งหนึ่งของเหตุโจมตีหมู่ในสหรัฐฯ เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัวและที่ทำงาน


City reopens after mass shooting during Chinese Lunar New Year celebrations in Monterey Park
City reopens after mass shooting during Chinese Lunar New Year celebrations in Monterey Park

รายงานของสำนักงานรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือ U.S. Secret Service ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของเหตุโจมตีหมู่ หรือ mass attack ในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2016-2020 เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว ในครอบครัวหรือที่ทำงาน

รายงานบอกด้วยว่า ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมักมีประวัติเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต หรือมีปัญหาทางการเงิน หรือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยมักใช้ปืนเป็นอาวุธในการก่อเหตุ

รายงานความยาว 70 หน้าของศูนย์ประเมินภัยคุกคามแห่งชาติ (National Threat Assessment Center) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ U.S. Secret Service วิเคราะห์ข้อมูลจากเหตุความรุนแรง 173 คดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตมากกว่า 3 คน โดยเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นที่โรงเรียน สถานที่ทางศาสนา สถานที่ทำงาน และระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ โดยมีผู้เสียชีวิตรวมกัน 513 คน บาดเจ็บ 1,234 คน

รายงานพบว่า มีอาวุธปืนถูกใช้ในเหตุโจมตีเหล่านี้ 73% โดยผู้ที่ใช้ปืนยังรวมถึงบุคคลที่ถูกสั่งห้ามถือครองอาวุธปืนด้วย

รายงานชี้ว่า "กฎหมาย red flag" ในระดับรัฐ จะช่วยให้ศาลของรัฐต่าง ๆ มีอำนาจในการยึดปืนจากผู้ที่มีความเสี่ยงในการก่อเหตุ ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดเหตุโจมตีในลักษณะนี้ได้

รายงานชิ้นล่าสุดนี้เปิดเผยออกมาหลังจากที่เกิดเหตุรุนแรงจากอาวุธปืนสองครั้งติดกันในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 คน ผู้ก่อเหตุเป็นชายสูงอายุเชื้อสายเอเชียทั้งสองคน โดยเจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนหาแรงจูงใจในการก่อเหตุทั้งสองเหตุการณ์นี้

แม้เหตุรุนแรงจากอาวุธปืนที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสหรัฐฯ แต่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายสิบปี ซึ่งนักการเมืองยังคงแบ่งเป็นสองฝ่ายในการหาวิธีแก้ไขจัดการ โดยพรรคเดโมแครตต้องการให้เพิ่มมาตรการควบคุมอาวุธปืนมากขึ้น ขณะที่พรรครีพับลิกันมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาสุขภาพจิตและเพิ่มการรักษาความปลอดภัย

  • ที่มา: รอยเตอร์
XS
SM
MD
LG