เมื่อปีที่แล้วมีชาวจีนเดินทางมาเที่ยวสหรัฐฯ เกือบ 3 ล้านคน สมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ ประเมินว่าชาวจีนใช้จ่ายเงินโดยเฉลี่ย $6,700 ต่อคนต่อการเดินทาง เงินจำนวนดังกล่าวนั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 50% เลยทีเดียว
แต่ในปีนี้นักท่องเที่ยวจีนกลับมีจำนวนลดลงเกือบ 4% ในช่วงหกเดือนแรก ต่อเนื่องจากการลดลงเกือบ 6% เมื่อปีที่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนลดลงนั้น อาจมีสาเหตุมาจากหลายประการด้วยกัน
Theresa Belpulsi จาก Destination DC ซึ่งเป็นสำนักงานการตลาดการท่องเที่ยวสำหรับกรุงวอชิงตัน คิดว่าหนึ่งในเหตุผลของเรื่องนี้ก็คือ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ การทำสงครามทางการค้า คำเตือนต่างๆ สำหรับการเดินทาง ตลอดจนปัญหาเรื่องการขออนุมัติวีซ่า ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนลดลง แม้ว่าชาวจีนจะเดินทางเที่ยวต่างประเทศกันเพิ่มมากขึ้น
แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเดินทางไปเที่ยวประเทศอื่นแทน รัฐบาลจีนประกาศเตือนชาวจีนที่สนใจเดินทางเที่ยวสหรัฐฯ ไว้สองเรื่องด้วยกัน หนึ่งคือเรื่องการก่อเหตุรุนแรงด้วยการใช้ปืน และอีกเรื่องคือการคุกคามโดยการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ
ปัจจุบันการขออนุมัติวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับชาวจีนนั้น กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวจีนถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐถึง 17% ภายในช่วง 12 เดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2560 จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 จากที่เมื่อห้าปีก่อนนี้มีอัตราการปฏิเสธวีซ่าชาวจีนอยู่เพียง 8.5%
นอกจากนี้คู่แข่งด้านการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ก็พยายามหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างเมื่อปีที่แล้วชาวจีนเดินทางเที่ยวยุโรปถึง 14 ล้านคน
Adam Sacks จากบริษัท Tourism Economics กล่าวว่าเขาหวังว่าบริษัทนำเที่ยวในท้องถิ่นทั่วประเทศ จะสามารถช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้นได้ด้วยการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนการให้ส่วนลดต่างๆ
ในขณะเดียวกันบริษัทนำเที่ยวตามเมืองและรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ก็พยายามประชาสัมพันธ์เพื่อหานักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ที่นอกเหนือจากจีน อย่างเช่นประเทศอินเดีย เป็นต้น
