ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่า เมื่อฤดูหนาวมาถึงในปีนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อาจรุนแรงขึ้นในซีกโลกเหนือ
ขณะที่อัตราการติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ทั่วโลกอยู่ที่ราว 330,000 คนต่อวัน ทวีปยุโรปและสหรัฐฯ คือพื้นที่ที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า น่ากังวลมากเป็นพิเศษ
ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นยุโรป กล่าวว่า ในเวลานี้ มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ถึงวันละ 1,000 คนต่อวัน ในภูมิภาคนี้ และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนในช่วง 10 วันที่ผ่านมาด้วย
คลูก เสริมว่า ยุโรปยังสามาถควบคุมผลกระทบของโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวเนื่องกับโคโรนาไวรัสในช่วงฤดูหนาวนี้ให้น้อยลงได้ หากมีสัดส่วนของประชาชนที่สวมหน้ากากเพิ่มมากขึ้นจากระดับ 60 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน ให้เป็น 95 เปอร์เซ็นต์ และมีการรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดด้วย
หลายประเทศในยุโรปตัดสินใจยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสรอบใหม่แล้ว เช่น ที่ฝรั่งเศส รัฐบาลเตรียมบังคับใช้กฏเคอร์ฟิวระหว่างเวลา 21 นาฬิกาและเวลา 6 นาฬิกาในกรุงปารีส และอีก 7 เมือง โดยมีแผนจะดำเนินมาตรการนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ขณะที่ นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนีและผู้ว่าการรัฐทั้ง 16 รัฐตกลงที่จะบังคับใช้กฎจำกัดต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น การปิดให้บริการบาร์และภัตตาคารเร็วขึ้น และการจำกัดการชุมนุมในที่สาธารณะ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์แล้ว
ส่วนที่ไอร์แลนด์เหนือ รัฐบาลประกาศใช้มาตร์การล็อคดาวน์นาน 4 สัปดาห์ ซึ่งมีผลให้ผับและภัตตาคารต้องปิดการให้บริการภายในร้าน แต่ยังสามารถให้ลูกค้ามาแวะรับอาหารหรือสั่งให้ไปส่งที่บ้านได้
ขณะเดียวกัน นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ เตือนประชาชนชาวอเมริกันให้วางแผนฉลองวันขอบคุณพระเจ้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนให้ดี จากปกติที่ผู้คนมักเดินทางไปยังที่ต่างๆ กันอย่างเนื่องแน่น โดยเน้นย้ำที่กลุ่มผู้มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอาการป่วยอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงการใช้ความระมัดระวังและมีการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้จากกิจกรรมต่างๆ ให้ดี
ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอพกินส์ ณ บ่ายวันศุกร์ ตามเวลาในสหรัฐฯ ชี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่กว่า 39 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไปแล้วกว่า 1.1 ล้านคน
