นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ระบุว่า คำพิพากษาของศาลจีนให้จำคุกนายไมเคิล สเปเวอร์ นักธุรกิจชาวแคนาดา เป็นเวลา 11 ปี เป็นการกระทำที่ “รับไม่ได้และไม่ยุติธรรมโดยสิ้นเชิง”
เมื่อวันพุธ ศาลเมืองตานตง มณฑลเหลียวหนิง พิพากษาให้นายสเปเวอร์มีความผิดข้อหาจารกรรม โดยคำพิพากษานี้มีขึ้นเกือบหกเดือนหลังจากที่ศาลไต่สวนเขาโดยลับเป็นเวลาหนึ่งวัน โดยแม้แต่นักการทูตของแคนาดาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมฟังการไต่สวนดังกล่าว
ผู้นำแคนาดาระบุในแถลงการณ์ว่า เขาประณามกระบวนการทางกฎหมายที่ไม่โปร่งใส และการไต่สวนที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายระหว่างประเทศ
แถลงการณ์ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของศาลเมืองตานตงระบุว่า นายสเปเวอร์จะถูกเนรเทศระหว่างรับโทษจำคุก แต่ไม่ได้ระบุว่าเขาจะถูกเนรเทศเมื่อใด
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทวีตข้อความว่า สหรัฐฯ ร่วมประณามคำตัดสินดังกล่าว และเรียกร้องให้จีนปล่อยตัวนายสเปเวอร์และนายไมเคิล คอฟริก อดีตนักการทูตชาวแคนาดา โดยทั้งสองถูกทางการจีนควบคุมตัวโดยพลการมากว่าสองปีครึ่งแล้ว และว่า “ผู้คนไม่ใช่สิ่งของแลกเปลี่ยน”
ทั้งนี้ นายสเปเวอร์ถูกจับกุมเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทางการแคนาดาควบคุมตัวนางเหม็ง ว่านโจว หัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเหว่ย ที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ตามหมายจับของสหรัฐฯ โดยแคนาดากล่าวว่า การจับกุมตัวนายสเปเวอร์และนายคอฟริกของทางการจีนเป็นการตอบโต้ที่แคนาดาควบคุมตัวนางเหม็ง
การพิพากษาจำคุกนายสเปเวอร์นี้ มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลจีนพิพากษายืนให้ประหารชีวิตนายโรเบิร์ต ลอยด์ เชลเลนเบิร์ก ชาวแคนาดาที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานลักลอบค้ายาไอซ์เมื่อปีค.ศ. 2018 โดยเขาถูกจับกุมเมื่อปีค.ศ. 2014 และได้รับโทษเบื้องต้นเป็นการจำคุก 15 ปี อย่างไรก็ตาม ศาลจีนได้เปลี่ยนคำพิพากษาต่อเขาในปีค.ศ.2019 หลังีการไต่สวนใหม่เป็นเวลาหนึ่งวัน ไม่นานหลังจากที่นางเหม็ง ว่านโจวถูกทางการแคนาดาควบคุมตัว
ทั้งนี้ นางเหม็งยังคงถูกควบคุมตัวในบ้านพักที่เมืองแวนคูเวอร์ขณะที่ต่อสู้คัดค้านหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ กล่าวหาว่านางเหม็งโกหกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เรื่องการประกอบธุรกิจของหัวเหว่ยในอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการลงโทษอยู่
สหรัฐฯ ยังได้เตือนประเทศอืนๆ เรื่องการใช้สินค้าที่หัวเหว่ยผลิต โดยระบุว่า รัฐบาลจีนอาจติดตั้งอุปกรณ์ติดตามภายในสินค้าดังกล่าว
(ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าว The Associated Press สำนักข่าว Reuters และสำนักข่าว Agence France-Presse)