บริษัทผู้ผลิตหน้ากากรายย่อยในสหรัฐฯ ที่เร่งผลิตสินค้าออกมาจำนวนมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา กำลังประสบสินค้าขายไม่ออกหลายร้อยล้านชิ้น หลังจากที่อัตราการติดเชื้อโคโรนาไวรัสในสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ รวมทั้งเผชิญการแข่งขันจากหน้ากากราคาถูกจากจีน ซึ่งอาจทำให้หลายบริษัทต้องปิดกิจการก่อนที่การระบาดของโควิดจะสิ้นสุดลง
สมาคมผู้ผลิตหน้ากากอเมริกัน (American Mask Manufacturer's Association) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทผู้ผลิตหน้ากากรายย่อยในสหรัฐฯ 26 แห่ง มีจดหมายถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากทางรัฐบาล ไม่เช่นนั้นอาจต้องปิดการผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งภายในเวลา 60 วัน ซึ่งจะทำให้มีคนตกงานหลายพันคน นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า การทุ่มตลาดอย่างไม่เป็นธรรมโดยบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจีน กำลังคุกคามอุตสาหกรรมการผลิตหน้ากากป้องกันเชื้อโรคของสหรัฐฯ รวมถึงความพยายามเตรียมพร้อมรับมือการระบาดในอนาคต
ทางกลุ่มระบุว่า ปัจจุบันทั้ง 26 บริษัทมีกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยรวมกัน 3,700 ล้านชิ้นต่อปี และหน้ากากแบบ N95 ราว 1,000 ล้านชิ้นต่อปี แต่ขณะนี้มีหน้ากากอนามัยเหลืออยู่ในคลังสินค้าราว 260 ล้านชิ้น และหน้ากาก N95 จำนวน 20 ล้านชิ้นที่ยังขายไม่ออก
นอกจากปริมาณแล้ว ราคาของหน้ากากในท้องตลาดก็ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะในช่วงที่หน้ากากขาดตลาดเมื่อปีที่แล้ว หน้ากากอนามัย 1 กล่องจำนวน 50 ชิ้น ขายในราคาราว 50 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือประมาณ 5 ดอลลาร์เท่านั้น ทำให้สินค้าของบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับหน้ากากจากจีนที่มีต้นทุนถูกกว่าได้
บริษัทเหล่านี้แนะนำให้รัฐบาลมีมาตรการบังคับหน่วยงานรัฐบาลให้ใช้เฉพาะหน้ากากและอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคที่ผลิตในอเมริกาเท่านั้น รวมทั้งเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยของหน้ากากที่จะขายในสหรัฐฯ และขอให้รัฐบาลมีข้อกำหนดให้โรงพยาบาลทุกแห่งในสหรัฐฯ จัดสรรงบประมาณ 40% สำหรับซื้ออุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคที่ผลิตในประเทศภายในปี 2023 ตลอดจนขอให้รัฐบาลช่วยซื้อหน้ากากที่ยังอยู่ในคลังสินค้าจำนวน 260 ล้านชิ้นดังกล่าวด้วย
ทางด้านรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน รับปากว่าจะยื่นมือเข้าช่วยบรรดาบริษัทผู้ผลิตหน้ากากและอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจรวมถึงการให้เงินอุดหนุนเป็นกรณีพิเศษเช่นกัน
