ลิ้งค์เชื่อมต่อ

หลังรัสเซียรุกรานมา 1 ปี ชาวยูเครนมั่นใจ จะได้ชัยในสงคราม


Russia Ukraine War What Lies Ahead
Russia Ukraine War What Lies Ahead

ในช่วงที่สงครามในยูเครนซึ่งใกล้จะครบรอบ 1 ปีในไม่กี่วันนี้ และการสู้รบในจุดต่าง ๆ ก็ยังดำเนินอยู่ ประชาชนชาวยูเครนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านการรุกรานของรัสเซียและพยายามใช้ชีวิตให้เหมือนปกติท่ามกลางการโจมตีอย่างต่อเนื่องยังคงมั่นใจว่า ทุกอย่างจะจบลงด้วยชัยชนะของกองทัพกรุงเคียฟและประชาชน

ทาเทียนา โคโปรวิชซ์ บรรณาธิการบริหารของ วีโอเอ ภาคภาษายูเครน และเป็นชาวยูเครนคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า การติดตามทำรายงานข่าวสงครามนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับทั้งผู้ที่อยู่ในพื้นที่และผู้ที่ทำงานร่วมกันจากที่กรุงวอชิงตัน

Tatiana Vorozhko Koprowicz, Supervisory Managing Editor, giving an interview
Tatiana Vorozhko Koprowicz, Supervisory Managing Editor, giving an interview

โคโปรวิชซ์ อธิบายว่า “เมื่อเราส่งคนไปทำรายงานชิ้นหนึ่ง เราต้องพิจารณาดูว่า มีอันตรายมากเพียงใดด้วย … โชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวของเรา หรือผู้ที่เราทำงานด้วย ไม่เคยตกอยู่ในอันตราย … แต่ความน่าจะเป็นนั้นก็ยังมีอยู่ เพราะนี้เป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่สงครามโลกที่ 2 สิ้นสุดลง ดังนั้น จึงมีอันตรายอยู่ทุกที่”

เธอยังเล่าด้วยว่า ในช่วงแรกที่เรื่องนี้เกิดขึ้น หลายคนรอบ ๆ ตัวเธอประสบปัญหานอนไม่ค่อยหลับ ขณะที่ ตัวเธอเองคอยติดตามสถานการณ์แทบจะรายชั่วโมง เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเธอยังอยู่ที่กรุงเคียฟในตอนนั้น ก่อนที่จะเดินทางฝ่าอันตรายหลบภัยมาถึงสหรัฐฯ ได้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับไปยูเครนในเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว

สำหรับประเด็นนี้ โคโปรวิชซ์ ชี้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีศึกสงครามดำเนินอยู่ ชาวยูเครนยังคงพยายามใช้ชีวิตให้เหมือนปกติที่สุดให้ได้อยู่ดี

เธอกล่าวว่า “ผู้ที่ได้ชมภาพข่าววิดีโอต่าง ๆ อาจไม่รู้เลยว่า ยูเครนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ และรัสเซียก็ยิงจรวดเข้าถล่มทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ หรือถี่กว่านั้นในบางครั้ง ... แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนั้น การใช้ชีวิตของผู้คนเกือบเหมือนปกติ คือ เกือบเหมือนปกติแล้ว เช่น ถ้าคุณอยู่ในลวิฟ หรือ เคียฟ”

Tatiana Vorozhko Koprowicz, Supervisory Managing Editor
Tatiana Vorozhko Koprowicz, Supervisory Managing Editor

ถึงกระนั้น โคโปรวิชซ์ กล่าวว่า ชีวิตของผู้ที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรัสเซีย คือ สภาพการณ์ที่น่ากลัวอย่างที่มีรายงานข่าวมา และว่า “เมื่อเราได้คุยกับผู้คนที่มาจากแนวหน้า โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย เรื่องราวของพวกเขานั้นน่ากลัวอย่างที่สุด เหมือนอย่างที่คุณได้เห็นจากวิดีโอต่าง ๆ ... คือ ในทุก ๆ เมืองที่ได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ เมื่อคุณได้ไปที่นั่น คุณจะได้ยินเรื่องราวอันน่ากลัวทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้น

นี่เป็นกรณีของประเทศอันมีชีวิตชีวาแห่งหนี่งในยุโรป ที่เกิดเรื่องสยองน่ากลัวเหมือนในยุคกลาง และผู้คนต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในชั้นใต้ดินเป็นเวลาหลายเดือน โดยไม่มีน้ำดื่ม ต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์อันหนาวเหน็บ อะไรทำนองนั้น”

Ukrainians gather in downtown to celebrate the recapturing of their city Kherson, Ukraine, Saturday, Nov. 12, 2022.
Ukrainians gather in downtown to celebrate the recapturing of their city Kherson, Ukraine, Saturday, Nov. 12, 2022.

เมื่อถามที่ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยูเครนและชาวรัสเซียก่อนที่จะเกิดการรุกรานขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว บรรณาธิการบริหารของ วีโอเอ ภาคภาษายูเครน อธิบายว่า คนในยูเครนนั้นมีทั้งกลุ่มที่พูดภาษายูเครนและภาษารัสเซีย แต่ทุกคนก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาได้ตลอด ขณะที่ คนในยูเครนและคนในรัสเซียนั้น มีมุมมองต่อกันที่ต่างกันไป แล้วแต่ช่วงเวลา

เธออธิบายว่า “ถ้าเราลองดูตัวเลขย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 หรือ 2010 กว่า 90% ของคนยูเครนมองคนรัสเซียในแง่บวก แต่ตัวเลขนี้ลดลงในปี 2014 ก่อนจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ อีกครั้ง ... และก่อนเกิดเหตุความขัดแย้ง (สงคราม) คนจำนวน 34% ในยูเครน มองรัสเซียในแง่บวก ตอนนี้ ... ตัวเลขหดตัวเหลือเพียง 2% เท่านั้น” และว่า “แต่ในรัสเซีย ตัวเลขจะแตกต่างกันมาก... คือพวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแผนโฆษณาชวนเชื่อพร่ำบอกพวกเขา พวกเขาอาจเชื่อว่า รัสเซียมายูเครนเพื่อช่วยชาวยูเครน ดังนั้น พวกเขาอาจสนับสนุนสงคราม และมองชาวยูเครนในแง่บวกไปพร้อม ๆ กันได้ ซึ่งในสายตาคนยูเครนแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากมาก”

เมื่อพูดถึงชาวยูเครนที่สนับสนุนกองทัพรัสเซีย โคโปรวิชซ์ ยอมรับว่า “แน่นอนค่ะ มีคนบางกลุ่ม ราว 2% ที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูก(รัสเซีย)ยึดครอง พวกที่ยอมร่วมมือ(กับรัสเซีย) ก็จะทำงานกับพวกรัสเซีย คือ พวกเขาเห็นโอกาสที่จะหาประโยชน์ให้ตัวเอง แต่ก็เป็นส่วนที่น้อยมาก ๆ”

และขณะที่เน้นย้ำว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งทางเชื้อชาติ โคโปรวิชซ์ บอกว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมีความเห็นคล้าย ๆ กันว่า ต้นเหตุของสงครามนี้คือ การที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินต้องการอยู่ในอำนาจต่อไปตราบนานเท่านาน โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า จะพบกับการต่อต้านอย่างหนักจากชาวยูเครน

เธออธิบายว่า “เขา(ปูติน) คาดเพียงว่า จะได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นกระแสความนิยมในตัวเขาได้ ก่อนจะไปทำอย่างอื่นต่อแต่ทั้งหมดนี้นั้นหนุนนำด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อน ผิดหลักเหตุผล และล้มเหลวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน และปูติน เคยเขียนบทความออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2021 เกี่ยวกับรากฐานร่วมกันของประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน ด้วยการปฏิเสธว่า ยูเครนไม่ใช่ประเทศ ... ในบทความที่ปูตินเขียนนั้น เขาเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า เขามีสิทธิ์ตามประวัติศาสตร์ ที่จะรุกรานยูเครน และทำให้ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

แต่แม้สงครามนี้จะลากยาวมาถึงปีแล้ว ชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่า กองทัพกรุงเคียฟจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือรัสเซีย

Biden US Ukraine
Biden US Ukraine

“คนยูเครนจำนวนมากค่อนข้างมองโลกในแง่ดี พวกเขาเชื่อว่า ยูเครนจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม คือ ดิฉันจำตัวเลขไม่ได้ แค่จำได้ว่า สูงมาก ๆ ... พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาจะชนะสงคราม และพวกเขาเชื่อว่า พวกเขาจะฟื้นฟูและสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ ... พวกเขาเห็นแรงสนับสนุนจากนานาชาติ พวกเขาเห็นหรือมีศรัทธาในตัวเอง มองตัวเองว่า เป็นประเทศที่มีความสำคัญประเทศหนึ่ง พวกเขามองว่า การที่ยูเครนสามารถต้านการยึดครองและการรุกรานของรัสเซียได้ ทำให้พวกเขามีศรัทธาว่า พวกเขาจะสามารถช่วยกันสร้างประเทศให้ดีขึ้นได้” โคโปรวิชซ์ ระบุระหว่างพูดคุยกับ วีโอเอไทย

บรรณาธิการบริหารของ วีโอเอ ภาคภาษายูเครน ยังกล่าวเสริมด้วยว่า นอกจากการรอคอยให้สงครามสิ้นสุดลง สิ่งที่ชาวยูเครนต้องการก็คือ การได้เห็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งนี้ได้รับการลงโทษและหวังที่จะเห็นหนทางที่จะทำให้ทุกฝ่ายแน่ใจว่า ประวัติศาสตร์จะไม่เกิดซ้ำรอยอีกในอนาคต

FILE - People fleeing from Ukraine cross the border in Vysne Nemecke, Slovakia, March 4, 2022.
FILE - People fleeing from Ukraine cross the border in Vysne Nemecke, Slovakia, March 4, 2022.

และเมื่อถามที่รูปการณ์ในอนาคตหลังสงครามนี้สิ้นสุดลง โคโปรวิชซ์ มีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการอพยพหนีภัยออกนอกประเทศของชาวยูเครน ต่อสภาพสังคมในประเทศที่ยังไม่แน่นอนอยู่ โดยกล่าวว่า “ในเวลานี้ มีผู้อพยพลี้ภัยชาวยูเครนในยุโรปที่มีการลงทะเบียนไว้ราว 8 ล้านคน ... และถ้าเรามองดูที่ประชากรผู้อพยพลี้ภัย ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง และมีเด็ก ๆ จำนวนมาก คือ โดยเฉลี่ยตามสถิติแล้ว ส่วนใหญ่ของผู้อพยพลี้ภัยนั้นเป็นผู้หญิงที่มีอายุในช่วง 30-40 ปีเศษ โดยเฉลี่ยแล้ว ส่วนใหญ่มีการศึกษาสูง คือ ราว 77 % กล่าวคือ นี่คือ กลุ่มประชากรหญิงที่มีการศึกษามากที่สุดที่สามารถกลับมาประเทศเพื่อช่วยฟื้นฟูและสร้างประเทศใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

คำถามก็คือ ถ้าสงครามยุติลง ผู้หญิงเหล่านี้จะกลับมาไหม หรือพวกผู้ชายจะเดินทางไปหาผู้หญิงกลุ่มนี้ไหม หรือบางที อาจมีกรณีการหย่าร้าง”

  • ที่มา: วีโอเอ

เกี่ยวข้อง

XS
SM
MD
LG