ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ผลวิจัย: โอมิครอนติดทางจมูกเด็กง่ายกว่า - ไม่ได้กลิ่นคือสัญญาณปัญหาทางสมอง


การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสนี้ ที่หลายคนยังไม่เคยทราบมาก่อน ทั้งเรื่องความสามารถในการแพร่กระจายของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน และข้อบ่งชี้ถึงปัญหาในอนาคตที่อ้างอิงจากอาการป่วยโควิด-19

สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รวบรวมบทสรุปของการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับโควิด-19 ซึ่งรวมถึงผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ และน่าจะนำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติม รวมทั้งรายงานที่ยังรอการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญรายอื่น ๆ ก่อนจะมีการตีพิมพ์ไว้ดังนี้

เด็กรับเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทางจมูกได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ

การศึกษาชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ระบุว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนอาจแพร่เชื้อไปสู่เด็กผ่านทางจมูกได้ง่ายกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้านี้

ในช่วงต้นของการระบาดใหญ่ จมูกของเด็กรับเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโควิด-19 ได้น้อยกว่าจมูกของผู้ใหญ่ โดยการศึกษาเชื้อไวรัส ซาร์ส-โควี-ทู สายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์อื่น ๆ พบว่า เซลล์เยื่อบุจมูกของเด็ก ๆ มีภูมิคุ้มกันไวรัสเหล่านั้นได้ดีกว่าเซลล์เยื่อบุจมูกของผู้ใหญ่ และไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้มากเมื่ออยู่ในจมูกของเด็ก ๆ ด้วย

แต่วารสาร PLOS Biology ฉบับที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม เปิดเผยว่า การทดลองในห้องปฏิบัติการเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีการผสมไวรัสกับเซลล์จมูกจากเด็กสุขภาพดี 23 คนและผู้ใหญ่สุขภาพดี 15 คน แสดงให้เห็นว่า การต้านไวรัสในจมูกของเด็ก “มีความเด่นชัดน้อยกว่าในกรณีของ (ไวรัสสายพันธุ์) โอมิครอน” และนักวิจัยยังรายงานด้วยว่า โควิดสายพันธุ์โอมิครอนสามารถแบ่งตัวได้มากขึ้นในเซลล์เยื่อบุจมูกของเด็ก เมื่อเทียบกับทั้งสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์ดั้งเดิม

นักวิจัยเผยว่า "ข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับจำนวนการติดเชื้อในเด็กที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาด" พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนี้อีกด้วย

ปัญหาเรื่องการรับรู้กลิ่นอาจเป็นสัญญาณปัญหาเรื่องความจำในอนาคต

การศึกษาอีกชิ้นจากประเทศอาร์เจนตินา ระบุว่า ระดับความรุนแรงของความผิดปกติในการรับรู้กลิ่นหลังการติดเชื้อโคโรนาไวรัสนั้น อาจเป็นสิ่งที่ทำนายภาวะถดถอยทางสมองในระยะยาวได้ดีกว่าความรุนแรงโดยรวมของโควิด-19

นักวิจัยศึกษากลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มจำนวน 766 คนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยประมาณ 90% ในจำนวนนี้เคยติดเชื้อโคโรนาไวรัสมาแล้ว

นักวิจัยได้ทำการการทดสอบทางกายภาพ ความรู้ความเข้าใจ และอาการทางจิตประสาทของคนกลุ่มนี้เป็นเวลา 3-6 เดือนหลังจากการติดเชื้อ และพบว่า สองในสามของผู้ที่เคยติดเชื้อมีอาการความจำเสื่อมในระดับหนึ่ง และหลังจากพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของแต่ละบุคคล เช่น การสูญเสียการรับรู้กลิ่นอย่างรุนแรง หรือ Anosmia แล้ว ก็ทำให้สามารถทำนายภาวะถดถอยทางสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามรายงานของนักวิจัยในการประชุม Alzheimer's Association International Conference ประจำปี 2022 ที่เมืองซานดิเอโก

กาบรีเอลา กอนซาเลซาเลแมน (Gabriela Gonzalez-Aleman) แห่งมหาวิทยาลัย Pontificia Universidad Catolica Argentina ในกรุงบัวโนสไอเรส กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ยิ่งเรามีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับสาเหตุหรืออย่างน้อยก็คาดการณ์ได้ว่า ใครจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยทางสมองในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญจากการติดเชื้อโควิด-19 เราก็จะสามารถจะติดตามและเริ่มพัฒนาวิธีการป้องกันได้ดียิ่งขึ้น”

ความเชื่อมโยงระหว่างมาตรการบังคับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และเจ้าหน้าที่บ้านพักคนชรา

การศึกษาพบว่า ข้อกำหนดที่ให้เจ้าหน้าที่ในบ้านพักคนชราในสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้นบรรลุผลตามที่ต้องการ และไม่ได้นำไปสู่การลาออกจำนวนมาก และ/หรือ การขาดแคลนเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

รายงานของนักวิจัยใน JAMA Health Forum ระบุว่า ในรัฐที่ไม่ได้มีข้อบังคับดังกล่าวกลับมีการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยข้อมูลที่รวบรวมตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 จากเครือข่าย National Healthcare Safety Network แสดงให้เห็นว่า ใน 12 รัฐที่ออกกฎข้อบังคับให้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 นั้น อัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มพนักงานอยู่ระหว่าง 78.7% ถึง 95.2%

ส่วนรัฐที่ไม่ได้ออกกฎข้อบังคับกลับมี “อัตราการฉีดวัคซีนลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาการศึกษา” และยังรายงาน “การขาดแคลนพนักงานในอัตราที่สูงขึ้นตลอดระยะเวลาการศึกษา” อีกด้วย

  • ที่มา: รอยเตอร์

XS
SM
MD
LG