เมื่อจารชนเผชิญหน้ากับมัจจุราช ใน Operation Finale

Operation Finale (2018)

เมื่อพูดถึงภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ หนึ่งในเส้นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันบ่อยๆ เห็นจะเป็นการล่มสลายของนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้มี 1 ภาพยนตร์ที่น่าสนใจ Operation Finale ที่นำแสดงโดย Oscar Isaac ผู้ที่รับบทเป็น Poe นักบินสุดหล่อใน Star Wars 2 ภาคล่าสุด และนักแสดงมากฝีมือ Ben Kingsley

Operation Finale (2018)

Operation Finale ว่าด้วยปฏิบัติการครั้งประวัติศาสตร์ของหน่วย Mossad ของอิสราเอล ซึ่งเป็นทั้งหน่วยข่าวกรอง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ และหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอิสราเอล ซึ่งตอนนั้นกำลังเป็นประเทศที่ยังตั้งไข่ หวังจะสร้างผลงานชิ้นโบว์แดง ด้วยการนำตัว Adolf Eichmann หนึ่งในมันสมองของแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวกว่า 6 ล้านชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลบหนีมากบดานอยู่กับครอบครัวอย่างสงบสุขในบัวโนส ไอเรส ของอาร์เจนตินา มาขึ้นศาลพลเมืองในอิสราเอลให้ได้

ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์นั้น มีอยู่ 2 อย่าง คือ เปรี้ยงกับแป้ก เส้นเรื่องไม่ได้นำไปสู่ความหวือหวา เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตามติดประวัติศาสตร์มากนักก็สามารถรับชมได้ เนื่องจากภารกิจชิงตัว Adolf Eichmann ที่นำเสนอในเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้

ที่น่าชื่นชม คือ การคัดเลือกนักแสดงซึ่งทำให้คนอินได้ในระดับหนึ่ง อย่างตัวนายกรัฐมนตรีคนแรกของอิสราเอล ที่มาซีนเดียวก็ใจคนดู และ Klaus Eichmann ลูกชายของ Adolf Eichmann ซึ่งเรียกว่าเป็นคนที่ทำให้ชีวิตพ่อตัวเองผกผัน รับบทโดย Joe Alwyn แฟนหนุ่มหน้าหยกของเทเลอร์ สวิฟต์ และนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุคจากเกาะอังกฤษ

Joe Alwyn แฟนหนุ่มหน้าหยกของเทเลอร์ สวิฟต์ และนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุคจากเกาะอังกฤษ ร่วมรับบทหนักใน Operation Finale (2018)

บรรยากาศเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูจงใจเป็นหน่วยงานลับเสียเหลือใจ ทำให้รู้สึกอึดอัดกับความพยายามเป็นสายลับที่เปิดเผยโจ่งแจ้งที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในความเห็นผู้วิจารณ์

ส่วนความดราม่านั้นยกความดีให้ Kingsley ที่แบกภาพยนตร์เอาไว้ทั้งเรื่อง ด้วยความรู้สึกน่าสงสาร น่ากลัว น่าขยะแขยงไปพร้อมกัน แต่เหมือนจะปรบมือข้างเดียวไม่ดังเมื่อต้องปะทะคารมกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้สะท้อนความรู้สึกเคียดแค้นที่ฝังลึกจากการกดขี่เข่นฆ่าอย่างที่เราคาดหวังนัก

Oscar Isaac เชือดเฉือนอารมณ์กับ Ben Kingsley ใน Operation Finale (2018)

โดยสรุปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความละเมียดละไมในรายละเอียดของหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์ องค์ประกอบโดยรวมดูเพลินดูสนุก แต่ถ้าเพิ่มความซ้อนของการหักเหลี่ยมเฉือนคม หรือการไล่ล่ามากกว่านี้ จะเพิ่มรสชาติของภาพยนตร์ได้อีกโข

เพราะจากบทหนังในระดับนี้ ถือว่าเป็นได้แค่ตอนพิเศษใน History Channel หรือช่องประวัติศาสตร์ตามช่องเคเบิ้ลเท่านั้น