'เยลเลน' ผ่านรับรองนั่ง รมว.คลัง สร้างประวัติศาสตร์เป็นสตรีคนแรก

Janet Yellen

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติในคืนวันจันทร์ รับรองให้แจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่ 78 ของสหรัฐฯ ถือเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้นั่งในตำแหน่งนี้นับตั้งแต่มีการก่อตั้งกระทรวงการคลังเมื่อ 232 ปีก่อน

เยลเลน ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ว่าการระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ ผ่านการรับรองจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียง 84-15 ถือเป็นรัฐมนตรีคนที่สามในคณะทำงานของนายไบเดนที่ผ่านการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ

คาดว่าเธอจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการบรรเทาทุกข์จากโควิด-19 ชุดใหม่ มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งกำลังถูกคัดค้านอย่างแข็งขันจากทางฝั่งพรรครีพับลิกัน

ก่อนการลงมติเมื่อเย็นวันจันทร์ที่ผ่านมา เยลเลนได้รับการรับรองอย่างเป็นเอกฉันทน์จากคณะกรรมาธิการด้านการเงินของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยทางพรรครีพับลิกันระบุว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่างของนางเยลเลนและประธานาธิบดีไบเดน โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีสำหรับภาคธุรกิจและผู้มีรายได้สูง แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว

SEE ALSO: 'ว่าที่รัฐมนตรีคลัง' เร่งวุฒิสภาผ่านแผนบรรเทาทุกข์โควิดชุดใหม่เฉียด 2 ล้านล้านเหรียญ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างการตอบคำถามคณะกรรมาธิการด้านการเงินของวุฒิสภาสหรัฐฯ ในกระบวนการพิจารณารับรองการเสนอชื่อให้นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีการคลัง นางเยลเลน กล่าวว่า "หากไม่มีความช่วยเหลือชุดใหม่นี้ เราอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันยาวนาน และจะเกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจในระยะยาว"

อย่างไรก็ตาม ทางพรรครีพับลิกันโต้แย้งว่ามาตรการช่วยเหลือก้อนใหม่นี้มีมูลค่าสูงเกินไป ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังขาดดุลงบประมาณสะสมเป็นมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ คือ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากที่ผ่านมาตรการช่วยเหลือมาแล้วก่อนหน้านี้สองชุดมูลค่ารวม 3 ล้านล้านดอลลาร์

นางเยลเลน กล่าวว่า เธอและนายไบเดนต่างตระหนักดีถึงปัญหาหนี้สะสมที่รัฐบาลกำลังเผชิญ แต่เชื่อว่าการควบคุมการระบาดและบรรเทาทุกข์ประชาชนคือภารกิจอันดับแรกที่สำคัญกว่า

ภายใต้มาตรการช่วยเหลือชุดใหม่นี้ ประชาชนอเมริกันจะได้รับเงินช่วยเหลือโดยตรงอีกคนละ 1,400 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 75,000 ดอลลาร์ต่อปี และจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังรวมถึงงบประมาณสำหรับการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึงทั่วประเทศด้วย