รัฐสภาสหรัฐฯ ปฏิเสธคำประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเป็นทางการ หลังจากวุฒิสภาลงมติในวันพฤหัสบดีด้วยคะแนนเสียง 59-41 ไม่รับรองคำประกาศภาวะฉุกเฉินของทรัมป์
ก่อนหน้านี้เมื่อหลายสัปดาห์ที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติไม่รับรองเช่นกัน
วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 12 คน ออกเสียงไม่รับรอง เช่นเดียวกับ ส.ว.พรรคเดโมแครตทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการเพิกเฉยต่อคำขู่ใช้สิทธิ์วีโต้ของ ปธน.ทรัมป์ และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่รัฐสภาปฏิเสธคำประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
ส.ว.ซูซาน คอลลินส์ จากพรรครีพับลิกัน หนึ่งในผู้ออกเสียงไม่รับรอง กล่าวว่า ตนสนับสนุนเป้าหมายเรื่องการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยตามพรมแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีลัดเช่นนี้
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตตอบโต้จากทำเนียบขาวว่า ตนจะใช้อำนาจวีโต้มติดังกล่าว ซึ่งขัดขวางความพยายามป้องกันชายแดนจากอาชญากรรมและยาเสพติด ไม่ให้เข้าประเทศ
ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อดึงเงินงบประมาณที่สภาครองเกรสจัดสรรไว้สำหรับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
จากนั้นทางส.ส.พรรคเดโมแครต ได้ออกมาเคลื่อนไหวในการลงมติเพื่อยับยั้งการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว
และเมื่อวันจันทร์ ทำเนียบขาวเปิดเผยร่างงบประมาณสำหรับปี ค.ศ. 2020 มูลค่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มใช้ในเดือนตุลาคมนี้ โดยมีงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก จำนวน 8,600 ล้านดอลลาร์ รวมอยู่ด้วย
คาดว่าร่างงบประมาณฉบับใหม่นี้จะทำให้เกิดการโต้แย้งกันในรัฐสภาอีกครั้ง หลังจากที่บรรดาผู้นำพรรคเดโมแครตซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าจะสกัดกั้นงบประมาณทุกอย่างสำหรับการก่อสร้างกำแพง
นั่นจะนำไปสู่การต่อสู้กันในสภานานหลายเดือนเหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว จนเป็นเหตุให้ต้องปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเวลานาน 35 วัน