รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศสำหรับปีงบประมาณ 2021 ลง 1 ใน 5 เมื่อเทียบกับตัวเลขปีงบประมาณปัจจุบัน ขณะที่ผู้สัดทัดกรณีเชื่อว่า รัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งมีพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมาก จะไม่อนุมัติตัวเลขดังกล่าวและเพิ่มงบกลับขึ้นมาในที่สุด
รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนองบต่างประเทศที่ 4.41 หมื่นล้านดอลลาร์ จากงบรวม 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับงบประมาณปี 2021 ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคมปีนี้
ตัวเลขล่าสุดซึ่งต่ำกว่างบประมาณต่างประเทศปี 2020 ที่ 5.57 หมื่นล้านดอลลาร์ ประมาณ 21% ทำให้ เอเลียต เอนเกล (Eliot Engel) ประธานคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ ส่งข้อความผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ที่ระบุว่า “...ทำเนียบขาวควรช่วยอนุรักษ์ต้นไม้มากกว่าจะส่งร่างงบประมาณที่สุดท้ายจะไปอยู่ที่นี่” พร้อมรูปถังขยะของสภาล่าง ประกอบข้อความ
รัส โวท (Russ Vought) รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารและงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์มองว่าสหรัฐฯ ไม่ควรจะตั้งงบประมาณต่างประเทศในระดับสูงอีกต่อไป และว่าตัวเลขที่เสนอในปีหน้าถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย ขณะที่ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนของสหรัฐฯ ยังเป็นระดับที่สูงกว่าที่หลายๆ ประเทศตั้งด้วย
อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่า ร่างงบประมาณล่าสุดนี้ มีโอกาสที่จะถูกสภาล่างที่พรรคเดโมแครตคุมเสียงส่วนใหญ่ลงมติปฏิเสธ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในการอภิปรายงบประมาณปีที่แล้ว
จิเซลล์ ดอนเนลลี่ จาก American Enterprise Institute ซึ่งเป็นองค์การด้านวิเคราะห์นโยบายสหรัฐฯ เชื่อว่า สภาคองเกรสน่าจะมีมติให้เพิ่มงบต่างประเทศขึ้น อย่างน้อยให้เกือบเท่ากับระดับที่อนุมัติสำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะอย่างไร งบประมาณส่วนนี้เทียบว่าเล็กน้อยมากกับตัวเลขขาดดุลงบประมาณและภาวะหนี้สิ้นโดยรวมของรัฐบาล
ดอนเนลลี่ ยังกล่าวด้วยว่า การตัดงบประมาณต่างประเทศครั้งนี้ของรัฐบาลปธน.ทรัมป์ยังไม่น่าห่วงเท่ากับการที่รัฐบาลลดบทบาทความสำคัญของงานด้านต่างประเทศ ซึ่งเห็นได้จากการไล่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่การทูตชั้นสูงออกไปในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน พลเรือเอก ไมค์ มัลเลน (Admiral Mike Mullen) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะเสนาธิการร่วมระหว่างปี ค.ศ. 2007 และ 2011 ส่งจดหมายถึงสภาคองเกรสเพื่อเตือนว่า ยิ่งรัฐบาลตัดงบประมาณการต่างประเทศมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงของปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่จะต้องดำเนินการนานขึ้นภายใต้ภาวะที่เสี่ยงตายมากขึ้น ก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย
ส่วน อิโว ดาลเดอร์ (Ivo Daalder) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต้ ให้ความเห็นว่า นโยบายลดเงินอุดหนุนกิจการต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เป็นการตอกย้ำจุดยืนของปธน.ทรัปม์ ที่จะเน้นการใช้กำลังมากกว่าวิธีทางการทูตและการทำงานร่วมกันกับนานาประเทศในการรับมือกับปัญหาทั่วโลก
ท้ายสุด เอริค ชวาทซ์ (Eric Schwartz) ประธานองค์กรที่ทำงานด้านผู้ลี้ภัย Refugees International กล่าวว่า สิ่งที่ดูขัดแย้งกันอยู่ คือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ พอมเพโอ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันมักพูดถึงความใจกว้างของสหรัฐฯ มาตลอด แต่การกระทำกลับไม่ค่อยสอดคล้องกับสิ่งที่พูดนัก
ตามรายละเอียดของร่างงบประมาณล่าสุด ทำเนียบขาวยังเสนอขอเพิ่มงบสนับสนุน U.S. International Development Finance Corporation หรือ DFC ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระแห่งใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆ ของภาคเอกชน