เมื่อวันพุธ รัฐบาลสหรัฐฯ ประหารชีวิตนักโทษหญิงลิซา มอนท์โกเมอร์รี ที่เรือนจำรัฐบาลกลาง เมืองเทร์เรโฮต รัฐอินเดียนา ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1953 ที่สหรัฐฯ ประหารชีวิตนักโทษหญิง
มอนท์โกเมอร์รีถูกประหารชีวิต หลังศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินเมื่อวันอังคารให้ดำเนินการประหารชีวิตต่อไปได้ แม้จะมีการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อยุติการประหารก็ตาม
นักโทษหญิงผู้นี้ถูกจับกุมเมื่อปีค.ศ. 2017 จากคดีที่เธอฆ่ารัดคอหญิงตั้งครรภ์และผ่าเอาตัวทารกออกมาจากครรภ์ และพยายามอ้างว่าเด็กทารกเป็นของตนเอง
ทีมคดีของมอนท์โกเมอร์รีให้เหตุผลว่า เธอถูก “ทารุณกรรมทางเพศ” รวมทั้งการถูกรุมข่มขืนในวัยเด็ก ทำให้เธอมีบาดแผลทางอารมณ์ถาวร และทำให้ปัญหาสุขภาพจิตที่ถ่ายทอดในครอบครัวของเธอยิ่งแย่ลง
เคลลีย์ เฮนรี่ ทนายของมอนท์โกเมอร์รี่ ระบุในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจประหารชีวิตเธอเป็น “การใช้อำนาจรัฐอย่างเลวร้าย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่จำเป็น” และระบุว่า ผู้มีส่วนร่วมกับการประหารครั้งนี้ทุกคนควรรู้สึกละอาย
ทางด้านกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ก็ระบุว่า การประหารชีวิตครั้งนี้ “เป็นไปตามคำตัดสินที่ได้รับคำแนะนำอย่างเป็นเอกฉันท์โดยคณะลูกขุนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และบังคับใช้โดยศาลชั้นต้นของรัฐบาลกลางประจำเขตตะวันตกของรัฐมิสซูรี”
ทั้งนี้ มอนท์โกเมอร์รีเป็นนักโทษของรัฐบาลกลางคนที่ 11 ที่ถูกประหารนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาใช้โทษประหารหลังไม่มีการประหารนักโทษมา 17 ปีแล้ว
แต่เดิมนั้น จะมีนักโทษอีกสองรายถูกประหารในสัปดาห์นี้ ไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะหมดวาระดำรงตำแหน่ง แต่ผู้พิพากษาของศาลกรุงวอชิงตันระงับการประหารไว้ก่อน เนื่องจากนักโทษทั้งสองรายติดเชื้อโคโรนาไวรัส