ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ระบบธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมลงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าศูนย์เหมือนที่ธนาคารกลางในยุโรปและญี่ปุ่นใช้อยู่ ในความพยายามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำกว่า 0% หรือที่เรียกว่า Negative Interest Rate นี้หมายถึงแทนที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะได้รับดอกเบี้ยจากการนำเงินทุนไปฝากไว้ที่ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์กลับต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารกลางแทน และเป้าหมายหนึ่งของโยบายก็คือเพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยกู้ในระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม Negative Interest Rate จะทำให้กำไรจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลดลง
นาย Richard Fisher อดีตผู้อำนวยการธนาคารกลางของสหรัฐที่สำนักงานสาขาภูมิภาคในนครดัลลัส รัฐเท็กซัส อธิบายว่านโยบายนี้จะส่งผลต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ และอาจไม่สามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวัง รวมทั้งจะส่งผลต่ออัตราการออมและผลตอบแทนของผู้ลงทุนหลังเกษียณด้วย
อดีตเจ้าหน้าที่ของระบบธนาคารกลางสหรัฐยังชี้ด้วยว่า นโยบายดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลในยุโรปและญี่ปุ่นซึ่งนำนโยบายดังกล่าวมาใช้เป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยตัวอย่างหนึ่งคือหลังจากที่ธนาคารกลางของยุโรปหรือ ECB เริ่มใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าศูนย์ตั้งแต่ปี 2014 มูลค่าหุ้นของธนาคาร Deutsche Bank ของเยอรมันนีก็ลดลงถึง 75%
ส่วนคุณ Mohamed El-Erain หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท Allianz ก็อธิบายว่า นโยบายดอกเบี้ยต่ำกว่าศูนย์นี้สวนทางกับหลักการสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ด้วยการสร้างข้อจำกัดต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน กระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นโดยสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร และเป็นผลให้มีการจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งยังสร้างผลเสียต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากกว่าธนาคารขนาดใหญ่ด้วย
ก่อนหน้านี้คือเมื่อราวปลายเดือนสิงหาคม ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวว่าตนไม่เห็นด้วยกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำกว่าศูนย์ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้ผู้นำสหรัฐเรียกร้องเรื่องนี้อีก โดยหวังว่าจะเป็นมาตรการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ถึงแม้ทำเนียบขาวจะยังยืนยันและแสดงความมั่นใจเรื่องเศรษฐกิจของประเทศอยู่ก็ตาม