ลิ้งค์เชื่อมต่อ

สรุปผลงานการเยือนเอเชีย 'ประธานาธิบดีทรัมป์' เผย ”ภูมิใจมาก”


U.S. President Donald Trump
U.S. President Donald Trump

ผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่าสัญญาการค้ามูลค่าสามแสนล้านดอลลาร์จะขยายตัวได้เป็นสามเท่าในไม่ช้า

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวระหว่างการประชุม East Asia Summit ที่กรุงมะนิลาเมื่อวันอังคารว่า เกาหลีเหนือยังคงเป็นภัยคุกคามทางทหารที่สำคัญของโลก และว่าโครงการจรวดขีปนาวุธรวมทั้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ คุกคามต่อทั้งโลก

และเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่าคาบสมุทรเกาหลีจะปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ในลักษณะที่สามารถตรวจพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า ตนยังมีความกังวลเกี่ยวกับความพยายามของจีนเพื่อสร้างและใช้ประโยชน์ทางทหารจากพื้นที่ต่างๆ ในทะเลจีนใต้ และว่าสหรัฐฯ อยากจะเห็นการแก้ปัญหากรณีพิพาททั้งหมดในทะเลจีนใต้อย่างสันติด้วย

ในเรื่องที่เกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นประธานาธิบดีทรัมป์ชี้ว่า สหรัฐฯ กำลังจับตามองภัยคุกคามจากกลุ่มรัฐอิสลามและกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ที่กำลังขยายตัว และว่าขณะที่กลุ่มรัฐอิสลามต้องพ่ายแพ้และสูญเสียพื้นที่ในสนามรบ เราจะต้องคอยระแวดระวังภัยที่อาจจะมาจากนักรบต่างแดน และพลพรรคของกลุ่มก่อการร้ายที่เดินทางกลับประเทศ

สำหรับด้านการค้านั้น ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่ามีการทำข้อตกลงมูลค่าอย่างน้อยสามแสนล้านดอลลาร์ระหว่างการเยือนเอเชีย และว่ามูลค่าดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในเวลาอีกไม่ช้า

ผู้นำสหรัฐฯ ยกตัวอย่างการที่เวียดนามสั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้งของสหรัฐมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ อ้างถึงข้อตกลงใหม่ หรือการทำสัญญาเก่ามูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์? ซึ่งสายการบินของเวียดนามได้ลงนามกับบริษัทโบอิ้งเรียบร้อยแล้ว สมัยที่ประธานาธิบดีโอบาม่าเดินทางเยือนเวียดนามเมื่อปีก่อน

และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวโทษรัฐบาลชุดก่อนของสหรัฐฯ ว่าปล่อยให้สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากประเทศคู่ค้า และตนต้องการการค้าแบบที่เป็นธรรมสำหรับสหรัฐฯ นั้น ก็เป็นที่คาดว่าจะมีคำประกาศสำคัญเกี่ยวกับผลการเยือนเอเชียครั้งนี้ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ในช่วงวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์นี้ตามเวลาในประเทศไทย

ถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะกล่าวอ้างความสำเร็จหลายด้านจากการยืนเอเชียครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็มีความเห็นต่าง อย่างเช่น นาย Curtis Chin อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย บอกว่าเห็นได้ชัดว่านโยบายปักหมุดเอเชียของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อน ต้องเปิดทางให้กับนโยบายปักหมุดธุรกิจในเอเชียของประธานาธิบดีทรัมป์แทน

ส่วนนาง Susan Rice อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ก็ชี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ปล่อยให้สหรัฐฯ อยู่ในฐานะที่ถูกโดดเดี่ยวและถดถอยมากขึ้น และมอบฐานะการเป็นผู้นำในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกให้กับจีนแทน

ทางด้านนาย Phil Robertson รองผู้อำนวยการของ Human Right Watch ด้านเอเชีย ก็ตำหนิผู้นำสหรัฐฯ ว่าละเลยประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยทั่วโลกต้องตายลง และถูกฝังกลบดินเหมือนกับเหยื่อในสงครามปราบปรามยาเสพติดของประธานาธิบดีดูเตอร์เต

ซึ่งแม้ว่าโฆษกทําเนียบขาวจะแถลงว่ามีการหารือเรื่องสิทธิมนุษยชนกับผู้นำฟิลิปปินส์ก็ตาม แต่โฆษกของประธานาธิบดีดูเตอร์เตเองกลับยืนยันว่าไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

สำหรับการประชุม East Asia Summit ที่กรุงมะนิลาในวันอังคาร มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมการประชุมแบบครบองค์เต็มคณะสำหรับผู้นำทั้ง 18 ประเทศ และได้เดินทางออกจากกรุงมะนิลาเร็วกว่ากำหนด 30 นาที

โดยนาย Rex Tillerson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกเรียกตัวให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด East Asia Summit นี้แทน

XS
SM
MD
LG