ลิ้งค์เชื่อมต่อ

นักวิชาการแนะส่งเสริมการอ่านเชิงวิเคราะห์ในโรงเรียนสหรัฐฯ


Library Poll
Library Poll

ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ ถกเถียงกันมายาวนานเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการสอนเด็กอ่านหนังสือ โดยหัวข้อของการถกเถียงกันนั้น เกี่ยวข้องกับการสอนคำศัพท์สองวิธี ซึ่งได้แก่การเรียนรู้คำศัพท์ทั้งคำ หรือการแยกคำศัพท์นั้นออกเป็นเสียงพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลายคนเริ่มจะหันมาใช้วิธีการสอนด้วย “ศาสตร์แห่งการอ่าน” ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้วิธีการที่การวิจัยเป็นเวลาหลายปีพบว่ามีประสิทธิภาพในการสอนเด็กให้อ่านหนังสือ

แนวคิดของศาสตร์แห่งการอ่านนั้นมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่มีปัญหา แต่โรงเรียนและหลักสูตรการฝึกอบรมครูกลับนำศาสตร์นี้มาใช้งานช้าไป

ทั้งนี้ การผลักดันให้สอนนักเรียนทุกคนด้วยวิธีนี้กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากโรงเรียนต่าง ๆ กำลังมองหาวิธีช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนไม่ทันในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่

ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่เป็นเรื่องของการออกเสียง การออกเสียงนั้นคือการสอนว่าเสียงทำงานร่วมกันอย่างไรเพื่อสร้างคำและส่วนต่าง ๆ ของคำ

บรรดาผู้สนับสนุนวิธีนี้ให้เหตุผลว่านักเรียนต้องการบทเรียนโดยละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างภาษา นั่นหมายถึงการใช้เวลามากมายในการเรียนรู้เสียงตัวอักษรและวิธีรวมเข้าด้วยกันเป็นคำ ๆ

ในปี 2000 กลุ่มรัฐบาล National Reading Panel ได้เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการสอนเด็กให้อ่านหนังสือ ว่าการออกเสียงมีความสำคัญควบคู่ไปกับวิธีการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหลายวิธี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้หลังจากการศึกษานี้เรียกว่า “balanced literacy” หรือการรู้หนังสืออย่างสมดุล ซึ่งเป็นการนำเอาการออกเสียงและวิธีการรู้หนังสือทั้งหมดมารวมกัน โดยมีเป้าหมายคือเพื่อให้เด็ก ๆ สามารถอ่านหนังสือที่พวกเขาชอบได้โดยเร็วที่สุด

ไมเคิล คามิล (Michael Kamil) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Stanford University ซึ่งเคยเป็นคณะกรรมการการอ่านระดับชาติกล่าวว่า วิธีการดังกล่าวมักทำให้นักเรียนเรียนรู้วิธีเดาคำศัพท์ แทนที่จะอ่านให้ถูกต้อง

ปัจจุบัน โรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการออกเสียงและองค์ประกอบอื่น ๆ ของศาสตร์แห่งการอ่านมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก บรรดาผู้ผลิตหนังสือเรียนก็เพิ่มการออกเสียงในหนังสือของตนให้มากขึ้น และโรงเรียนต่าง ๆ ก็ระงับหลักสูตรที่นิยมใช้บางหลักสูตรที่ไม่มีวิธีการที่ดีอีกด้วย

ทั้งนี้ ศาสตร์แห่งการอ่านนั้น ใช้การวิจัยจากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิธีที่สมองของเด็กเรียนรู้ที่จะอ่าน ส่วนในทางปฏิบัติ มีการเรียกร้องให้โรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการสร้างคำ

นักเรียนจะไม่จดจำการสะกดคำอีกต่อไป แต่พวกเขาจะเรียนรู้องค์ประกอบที่ประกอบกันเป็นคำแทน ตัวอย่างเช่น คำว่า “unhappy” นักเรียนจะเรียนรู้ว่าคำว่า "un" เปลี่ยนความหมายของคำว่า "happy" ได้อย่างไร

ทิโมธี ชานาฮาน (Timothy Shanahan) ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย University of Illinois วิทยาเขตชิคาโก ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการฝ่ายการอ่านของโรงเรียนรัฐบาลชิคาโกกล่าวว่า สำหรับเด็กบางคน การดูรายการโทรทัศน์อย่าง Sesame Street และการที่ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้ฟังก็เพียงพอแล้ว แต่เด็ก 30%-40% ยังต้องการการสอนเพิ่มเติมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์แห่งการอ่านด้วย และยังมีเด็กบางส่วนที่เรียนรู้การอ่าน แต่ก็จะไม่สามารถอ่านได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น

ทางด้านวิทยาลัยด้านการศึกษามักจะสอนด้วยวิธีการสอนแบบ Balanced Literacy กันอยู่ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมันก็ตาม ซึ่งหมายความว่าครูใหม่ ๆ มีประสบการณ์เพียงน้อยนิดในการใช้วิธีการสอนแบบที่มีหลักฐานสนับสนุน

ชานาฮานกล่าวว่า พ่อแม่มักต้องช่วยลูก ๆ หัดอ่านหนังสือ โดยจ่ายค่าสอนแบบตัวต่อตัวหรือซื้อหนังสือ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง และยังเป็นการทำให้ขาดความเท่าเทียมในการศึกษาเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อะมีเลีย มาโลน (Amelia Malone) ผู้อำนวยการ National Center for Learning Disabilities ในวอชิงตันกล่าวว่าพ่อแม่ต้องอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่ถ้าไม่อ่าน ก็ควรให้ความช่วยเหลือครูและผลักดันวิธีการสอนที่อิงตามหลักฐานในโรงเรียนของลูก ๆ ของตน

  • ที่มา: เอพี

XS
SM
MD
LG