กระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์เรียกตัวเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโรม ของอิตาลี กลับประเทศด่วน หลังจากที่ทางการฝรั่งเศสอ้างว่ารัฐบาลอิตาลีมีแถลงการณ์โจมตีรัฐบาลฝรั่งเศสอย่างไม่มีหลักฐานหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเป้าหมายให้อิตาลีได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรป ในเดือนพฤษภาคมนี้
นาตาลี ลัวโซ (Nathalie Loiseau) รัฐมนตรีกิจการยุโรปของฝรั่งเศส กล่าวเรียกร้องให้อิตาลีและฝรั่งเศสเริ่มต้นการหารือทางการเมืองร่วมกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ขอให้รัฐบาลทั้ง 2 ทุ่มเทกับการแก้ปัญหาภายในประเทศที่ประชาชนของแต่ละชาติให้ความใส่ใจ
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศส สะสมความบาดหมางกันมา หลังจากที่รัฐบาลโรมและปารีสต่างพยายามเข้าไปมีบทบาทต่อการแก้ปัญหาวิกฤตในลิเบีย
และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลอิตาลีหลายคนต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครอง และรัฐบาลฝรั่งเศส โดยนายลุยจิ ดิ มาโย (Luigi di Maio) รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี กล่าวหาว่าฝรั่งเศสยังคงเดินหน้าแสวงหาอาณานิคมจากแอฟริกา และเป็นชนวนเหตุของคลื่นผู้อพยพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตามมาด้วยรัฐมนตรีมหาดไทยอิตาลีมัตเตโอ ซัลวินี ที่เรียกนายมาครองว่าเป็น “ประธานาธิบดียอดแย่” และหวังว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในฝรั่งเศสจะออกมาต่อต้านนายมาครอง
ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้าย จะกลายเป็นการเคลื่อนไหวรอบใหม่เมื่อวันพุธ ที่รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี ดิ มาโย เข้าพบปะกับกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กสีเหลือง ที่ออกมาเดินขบวนในกรุงปารีสและทั่วประเทศ ก่อนจะทวีตสั้นๆว่า “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดผ่านเทือกเขาแอลป์เข้าสู่ฝรั่งเศสแล้ว” ทำให้ฝรั่งเศสหมดความอดทนจนตัดสินใจเรียกทูตกลับทันที
ทั้งนี้ ความบาดหมางระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศส สร้างแรงกดดันใหม่ให้กับสหภาพยุโรป ตั้งแต่การรับมือกับคลื่นแนวคิดประชานิยมที่คืบคลานไปทั่วยุโรป และเตรียมรับแรงปะทะจากความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรปแบบหักดิบ หรือ hard Brexit อย่างไร้ข้อตกลง ในวันที่ 29 มีนาคมนี้
ฟิลิปเป มอโรว์ เดอฟาร์กส์ อดีตทูตชาวฝรั่งเศสและนักวิเคราะห์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ แสดงความกังวลว่า ตอนนี้สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน แต่ปัญหาที่ท้าทายที่สุดในตอนนี้ คือ สหภาพยุโรปอาจล่มสลายได้ด้วยน้ำมือของประเทศในกลุ่มเสียเอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศชาวฝรั่งเศสรายนี้ บอกว่าประเด็นผู้อพยพ ได้แบ่งแยกแนวคิดของประเทศในกลุ่มอียูออกไป อย่างฝั่งอิตาลีและกรีซที่ได้รับผลกระทบโดยตรงในการจัดการกับผู้อพยพที่ข้ามน้ำข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในขณะที่ฝรั่งเศสและชาติอื่นๆในกลุ่มอียู กลับไม่เข้ามามีส่วนรับผิดชอบกับวิกฤตผู้อพยพนี้อย่างที่ควรจะเป็น
นายมอโรว์ เดอฟาร์กส์ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกชาติในสหภาพยุโรปต้องระมัดระวังถึงอนาคตของพวกเขาให้มาก และความบาดหมางระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสไม่ใช่แค่ปัญหาสำคัญ แต่เป็นวิกฤตที่อันตรายร้ายแรงต่อความเป็นไปของสหภาพยุโรปเลยก็ว่าได้
(Lisa Bryant ผู้สื่อข่าว VOA รายงานจากกรุงปารีส ฝรั่งเศส)