หลังสหภาพยุโรป (อียู) ออกคำแนะนำเมื่อสัปดาห์ก่อน ว่า ควรมีการยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ เข้ามาในพื้นที่ประเทศสมาชิกทั้ง 27 ประเทศ ที่บังคับใช้มาเป็นเวลากว่าปี เพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส นักเดินทางและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเริ่มตั้งความหวังว่า สถานการณ์ต่างๆ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเริ่มค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเกือบเหมือนปกติอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ตามรายงานของ สำนักข่าว เอพี
เมื่อปี ค.ศ. 2019 หรือก่อนจะมีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 นั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องทำรายได้เป็นสัดส่วนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีของอียู แต่ข้อมูลจากสภาการท่องเที่ยวโลก ระบุว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของอียูในปีที่ผ่านมานั้น หดหายไปถึงเกือบครึ่ง
ดังนั้น การเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักเดินทางจากภายนอกทวีปนั้นจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ กรีซและอิตาลี ที่พึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก
ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้ตั้งความหวังและมองโลกในแง่ดีในระดับหนึ่ง ว่า ทุกอย่างน่าจะค่อยเริ่มฟื้นคืนสู่สภาพปกติในปีนี้ แม้ว่า อียู คาดว่า อัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกไม่น่าจะกลับคืนสู่ระดับเดียวกับเมื่อปี ค.ศ. 2019 จนกว่าจะถึงปี ค.ศ. 2023 ก็ตาม
ในเวลานี้ อียู จัดกลุ่มประเทศต่างๆ โดยแบ่งเป็นสีๆ เพื่อชี้วัดถึงระดับความปลอดภัย แต่รายงานข่าวระบุว่า เงื่อนไขการจัดว่าประเทศใดจะอยู่ในกลุ่มใดนั้น ไม่ได้เป็นชุดเดียวกันสำหรับทุกประเทศ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้ที่ต้องเดินทางมายุโรปไม่น้อย
และขณะที่ อียู ตกลงว่า ประเทศสมาชิกควรค่อยๆ ปลดล็อคมาตรการจำกัดต่างๆ ให้กับผู้ที่จะเดินทางมาจากสหรัฐฯ และบางประเทศ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะเลือกดำเนินมาตรการอย่างไรและเมื่อใดด้วย
และขณะหลายฝ่ายยังรอความชัดเจนในด้านนี้ การสำรวจโดยคณะกรรมการท่องเที่ยวยุโรป (European Travel Commission) เมื่อไม่นานมานี้ ชี้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ชาวยุโรปราว 2 ใน 3 วางแผนที่จะออกเดินทางอีกครั้งภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว
