ดัชนีคอมโพสิตของเกาหลีใต้ หรือ KOSPI ร่วงหนักสุดในรอบอย่างน้อย 17 เดือนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จากความกังวลถึงทิศทางของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่อาจอยู่ในทิศทางขาลง เมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับลดประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจเกาหลีใต้ปีนี้ลงจากร้อยละ 3 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 และขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ในปีหน้า พร้อมทั้งประเมินว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะอยู่ในทิศทางขาลงต่อเนื่องไปอีก 5 ปีข้างหน้า
รายงานของ IMF นี้ยังปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน ซึ่ง IMF ให้เหตุผลว่ามาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่สะเทือนเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
นายคิม แท กิ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Dankook ไม่รู้สึกแปลกใจถึงทิศทางเศรษฐกิจขาลงของเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบหนัก จากการที่เกาหลีใต้เป็นพันธมิตรทางการค้ากับทั้งสหรัฐฯและจีน ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าไปได้ ขณะที่ภาวะค่าเงินวอนที่อ่อนค่าได้ซ้ำเติมเศรษฐกิจเกาหลีใต้เข้าไปอีก
นอกจากนี้ นายซัง แท ยุน อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยยอนเซ มองว่า ทิศทางดอกเบี้ยของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบขยายตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในช่วงนี้ โดยเฉพาะการลงทุนจากภาคเอกชนและกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่มีเพียงภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ตัวกึ่งนำไฟฟ้า หรือ Semiconductor จะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในระยะนี้
อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์เกาหลีใต้ทั้ง 2 ท่าน เสนอให้รัฐบาลเกาหลีใต้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีมูน แจ อิน เร่งปรับเปลี่ยนนโยบายก่อนที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงกว่านี้ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและลดการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน รวมทั้งใช้โอกาสจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และโครงการเศรษฐกิจร่วมระหว่าง 2 ชาติ ที่จะดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเกาหลีใต้มองว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้น ล้วนแขวนอยู่บนความเชื่อมั่นและสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีทั้งสิ้น ซึ่งหากปราศจากการผ่อนปรนด้านเศรษฐกิจจากนานาชาติ แรงขับเคลื่อนนี้ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้
(นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ เรียบเรียงบทความจาก Lee Ju-hyun ผู้สื่อข่าว VOA)