ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ดีเอ็นเองาช้าง ช่วยเปิดโปงเครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่า


FILE - A Zimbabwe National Parks official looks over the country's ivory stockpile at the Zimbabwe National Parks Headquarters in Harare, Zimbabwe, June, 2, 2016.
FILE - A Zimbabwe National Parks official looks over the country's ivory stockpile at the Zimbabwe National Parks Headquarters in Harare, Zimbabwe, June, 2, 2016.

ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า มีกลุ่มอาชญากรหลักราวสามกลุ่มใหญ่เท่านั้นที่มีส่วนในการลักลอบนำงาช้างส่วนใหญ่ออกจากแอฟริกา

นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากงาช้างของกลางที่ยึดมาได้และหลักฐานต่างๆ เช่น บันทึกการใช้โทรศัพท์ ป้ายทะเบียนรถ ข้อมูลด้านการเงิน และเอกสารการขนส่ง เพื่อดูเส้นทางการลักลอบค้างาช้างทั่วทั้งทวีปและเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมนี้

หลุยส์ เชลลี (Louise Shelley) นักวิจัยด้านการค้าผิดกฎหมายที่มหาวิทยาลัย George Mason University ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยนี้กล่าวว่า ข้อมูลการวิเคราะห์พันธุกรรมและข้อมูลอื่น ๆ จะช่วยให้เริ่มเข้าใจถึงห่วงโซ่อุปทานที่ผิดกฎหมายได้ ซึ่งนั่นคือกุญแจสำคัญในการต่อต้านเครือข่ายเหล่านี้

ซามูเอล วาสเซอร์ (Samuel Wasser) นักชีววิทยาด้านการอนุรักษ์จากศูนย์นิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัย University of Washington ซึ่งร่วมเขียนรายงานการศึกษานี้หวังว่า ผลการวิจัยนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายสามารถระบุตัวผู้นำของเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ แทนที่จะเป็นผู้ลักลอบล่าสัตว์ระดับล่างที่สามารถเปลี่ยนคนได้ง่าย และว่าเป้าหมายหลักของการศึกษานี้ก็คือ การยับยั้งการค้าที่มีการรวบรวมและส่งออกงาช้างออกนอกประเทศ

ปัจจุบัน ประชากรช้างในแอฟริกามีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว จากราว 5 ล้านเชือกเมื่อศตวรรษก่อนเหลืออยู่เพียง 1.3 ล้านเชือกในปีค.ศ. 1979 และปัจจุบันนี้คาดว่าจำนวนช้างทั้งหมดในแอฟริกาเหลืออยู่ที่ประมาณ 415,000 เชือกเท่านั้น

ทั้งนี้ การห้ามค้างาช้างเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศในปี 1989 ไม่ได้ช่วยลดจำนวนช้างที่ถูกล่า โดยในแต่ละปีคาดว่ามีงาช้างถูกส่งออกจากแอฟริกาเป็นน้ำหนักราว 1.1 ล้านปอนด์ (500 เมตริกตัน) ซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปยังเอเชีย

วาสเซอร์ทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสัตว์ป่าในเคนยา สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และที่อื่นๆ ซึ่งติดต่อเขาหลังจากที่สามารถสกัดจับการขนส่งงาช้างได้ เขาเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเก็บตัวอย่างงาช้างสำหรับการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ เวลานี้เขาได้รวบรวมตัวอย่างจากงาช้างมากกว่า 4,300 เชือกที่ถูกลักลอบขนส่งจากแอฟริการะหว่างปี 1995 จนถึงปัจจุบัน

โรเบิร์ต พริงเกิล (Robert Pringle) นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Princeton University ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวช่วยให้มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถระบุความเชื่อมโยงและหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้

ในปี 2004 วาสเซอร์ได้แสดงให้เห็นว่าดีเอ็นเอจากงาช้างและมูลช้างสามารถนำมาขยายผลเพื่อใช้ระบุตำแหน่งถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างใกล้เคียงได้ ในปี 2018 เขาพบว่าการค้นพบดีเอ็นเอที่เหมือนกันทุกอย่างในงาช้างของกลางที่ถูกยึดมาสองครั้งหมายความว่างาช้างเหล่านั้นมาจากช้างตัวเดียวกัน และมีแนวโน้มว่าจะถูกลักลอบค้าขายโดยเครือข่ายการลักลอบล่าสัตว์กลุ่มเดียวกัน

งานวิจัยชิ้นใหม่ได้ขยายแนวทางดังกล่าวในการระบุดีเอ็นเอของพ่อแม่และลูกช้าง ตลอดจนพี่น้องตัวอื่นๆ ในฝูงช้าง และนำไปขยายผลสู่การค้นพบว่ามีกลุ่มอาชญากรอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังการค้างาช้างส่วนใหญ่ในแอฟริกา

เนื่องจากช้างเพศเมียยังคงอยู่ในกลุ่มครอบครัวเดียวกันตลอดทั้งชีวิต และช้างตัวผู้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เดินทางไปไกลจากฝูงช้างมากนัก นักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่างาช้างจากสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดมักจะถูกล่าในเวลาเดียวกันหรือโดยนักล่ากลุ่มเดียวกัน

การเชื่อมโยงทางพันธุกรรมดังกล่าวเป็นการส่งมอบข้อมูลที่ละเอียดและเป็นประโยชน์ให้แก่หน่วยงานด้านสัตว์ป่าที่ต้องการหาหลักฐานอื่น เช่น บันทึกการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ป้ายทะเบียนรถ เอกสารการขนส่ง และหลักฐานด้านการเงิน เพื่อเชื่อมโยงไปถึงการขนส่งงาช้างในที่ต่างๆ

ก่อนหน้านี้ เมื่อมีการสกัดจับการลักลอบค้างาช้างได้ การยึดของกลางเพียงครั้งเดียวไม่ช่วยให้ทางการสามารถระบุองค์กรที่อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมดังกล่าวได้ แต่งานของนักวิทยาศาสตร์ในการระบุการเชื่อมโยงของดีเอ็นเอนี้ช่วยบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างการยึดของกลางในแต่ละครั้งได้ และความร่วมมือดังกล่าวก็เป็นแกนหลักของการสืบสวนสอบสวนข้ามชาติหลายๆ คดีที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

การศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Nature Human Behavior

  • ที่มา: เอพี
XS
SM
MD
LG