ลิ้งค์เชื่อมต่อ

5 เหตุผลสำคัญทำไมสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมโควิด-19


Virus Outbreak Illinois
Virus Outbreak Illinois
Covid 19 Failure
please wait

No media source currently available

0:00 0:06:24 0:00

ราวหกเดือนหลังการเริ่มระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ขณะนี้เขื้อไวรัสดังกล่าวเริ่มขยายตัวและฝังตัวในเขตรัฐตอนกลางซึ่งเป็นพื้นที่การเกษตรหลังจากที่ระบาดอย่างรุนแรงในเขตเมืองใหญ่แถบสองชายฝั่งของประเทศในช่วงก่อนหน้านี้

จนถึงขณะนี้สหรัฐฯ มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อประชากรมากเป็นอันดับสามของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐนอร์ธดาโกต้า กับเซาธ์ดาโกต้า ซึ่งเป็นรัฐการเกษตรและจัดเป็นพื้นที่เขตชนบทของสหรัฐฯ มีอัตราผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงที่สุดในประเทศ คือที่ 459 กับ 448 รายต่อประชากร 100,000 คนตามลำดับ

อาจารย์อาลี ม็อคดาด ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติสุขภาพที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ ให้คำอธิบายว่า มีเหตุผลสำคัญห้าอย่างที่อธิบายได้ว่าทำไมการระบาดของโควิด-19 จึงควบคุมไม่ได้ และกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ในเขตพื้นที่ตอนกลางของประเทศซึ่งไม่มีระบบโรงพยาบาลและการบริการสุขภาพที่ดีพอ

โดยเหตุผลทั้งห้านี้ มีตั้งแต่ความคิดอย่างผิด ๆ ว่าตัวเองปลอดภัย ความล้มเหลวในการทำเรื่องที่จำเป็นต้องทำ การไม่ใช้ประโยชน์จากช่วงล็อคดาวน์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม พฤติกรรมของคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย และความล้มเหลวของผู้นำ

  • ความรู้สึกอย่างผิดๆ ว่าตัวเองปลอดภัย

อาจารย์อาลี ม็อคดาด บอกว่า เนื่องจากโควิด-19 เริ่มระบาดในเขตเมืองใหญ่ ผู้คนในเขตชนบทจึงคิดว่าตัวเองนั้นปลอดภัยและจะไม่เกิดขึ้นในชุมชนของตน ซึ่งก็ทำให้ขาดการระวังตัวทั้งในเรื่องการใช้หน้ากากและการเว้นระยะห่าง

แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าสภาพพื้นที่ของแต่ละรัฐหรือแต่ละจังหวัดจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สถานที่สำหรับการแพร่เชื้อไวรัสดังกล่าวนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะการติดโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มักเกิดขึ้นในที่ทำงาน ในร้านอาหาร ในบาร์ รวมทั้งในสถานที่ปิดซึ่งมีการชุมนุมของผู้คนจำนวนมากนั่นเอง

  • ความล้มเหลวในการทำสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน

ความล้มเหลวในการทำสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานทั้งในระดับบุคคลและในส่วนของระบบสาธารณสุขก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่เริ่มแรกนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้ย้ำว่าขณะที่ยังไม่มีวัคซีน วิธีเดียวที่จะควบคุมการกระบาดของไวรัสนี้ได้คือมาตรการพื้นฐานด้านสาธารณสุข ซึ่งก็รวมถึงการสุ่มตรวจหาเชื้อในวงกว้าง การติดตามบุคคลที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและการกักตัว

อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ นั้นมีเพียง 8 รัฐในจำนวน 50 รัฐเท่านั้นที่สามารถสุ่มตรวจหาเชื้อเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดในรัฐของตน และถึงแม้รัฐสภาสหรัฐฯ จะได้จัดสรรเงินถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อหลายเดือนที่แล้วเพื่อช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโควิด-19 ก็ตามแต่งบประมาณเรื่อง contact tracing หรือการสืบสวนโรคนี้ก็ไม่เคยเพียงพอ

  • การพลาดโอกาสที่จะใช้มาตรการล็อคดาวน์ให้เป็นประโยชน์

อาจารย์จัสติน เลสเลอร์ของคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ชี้ว่ามาตรการล็อคดาวน์ไม่ได้มีขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อไวรัส แต่เป็นการซื้อเวลาเพื่อให้อัตราการแพร่เชื้อลดลงและทำให้ระบบสาธารณสุขในแต่ละรัฐเตรียมพร้อมเพื่อรับมือมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หลายรัฐในสหรัฐฯ พลาดโอกาสเรื่องการใช้ประโยชน์จากการล็อคดาวน์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม ดังนั้นเมื่อกลับมาเริ่มเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจึงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • การมุ่งให้ความสนใจผิดจุดเกี่ยวกับการเปิดสถานศึกษา

อาจารย์อาลี ม็อคดาด ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน ชี้ว่า คำถามไม่ควรจะอยู่ที่ว่าเราสามารถกลับมาเปิดสถานศึกษาได้หรือไม่ เพราะประเด็นที่แท้จริงและถูกต้องมากกว่าคือจะทำอย่างไรถ้าไม่สามารถควบคุมอัตราการติดเชื้อในชุมชนนั้นได้

อาจารย์อาลี ม็อคดาด ได้ยกตัวอย่างว่า ถึงแม้สถานศึกษาและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะพยายามจำกัดการเข้าชั้นเรียนก็ตาม แต่การแพร่เชื้อโดยเฉพาะในเมืองมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเขตมหาวิทยาลัย แต่มักจะเกิดขึ้นในบาร์ ตามสถานบันเทิง รวมทั้งในงานปาร์ตี้ที่นักศึกษาหรือกลุ่มคนวัยรุ่นหนุ่มสาวมักเข้าร่วมนั่นเอง

  • ความล้มเหลวของผู้นำ

การขาดยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจนและแน่นอนเพื่อรับมือกับโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสวมหน้ากาก ซึ่งควรต้องบังคับใช้ในระดับประเทศและจะช่วยให้มีผู้เสียชีวิตน้อยลงได้

อาจารย์อาลี ม็อคดาด ยกตัวอย่างว่า เราได้เห็นแนวทางของรัฐบาลระดับรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบางพื้นที่ เช่น ในรัฐจอร์เจีย กับรัฐฟลอริด้า สวนทางกันเกี่ยวกับข้อบังคับของการสวมหน้ากาก และยิ่งกว่านั้นคือการสื่อสารและท่าทีจากผู้นำทางการเมืองซึ่งสร้างความสับสนและไม่ช่วยให้เกิดพฤติกรรมในทางป้องกัน

อาจารย์อาลี ม็อคดาด จากสถาบันสถิติและการประเมินด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน กล่าวด้วยว่า ในอเมริกานั้นเราได้ยินข้อความจากผู้นำทางการเมืองอยู่เสมอว่าโควิด-19 ไม่ได้เป็นไวรัสอันตราย มีความรุนแรงน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่มาก จะหายไปได้เอง และจะมีความน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น เป็นต้น แต่ข้อมูลทั้งหมดที่ว่านี้ไม่เป็นความจริงเลย

XS
SM
MD
LG