ค่าเงินเปโซของอาร์เจนตินาลดลง 29% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งนับเป็นการตกต่ำที่สุดในบรรดาค่าเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
ส่วนค่าเงินลีร่าของตุรกีก็ตามมาเป็นอันดับสอง คือตกลง 25% และค่าเงินรูเปียะของอินโดนีเซียก็อ่อนตัวที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ 21 ปีที่แล้วเช่นกัน
การลดลงของค่าเงินของประเทศเศรษฐกิจโตเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินลีร่าของตุรกีซึ่งอ่อนตัวลง 40% ในปีนี้เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่ธนาคารและภาคธุรกิจของตุรกีกู้ยืมจากต่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์
โดยขณะนี้ นักค้าเงินตรากำลังติดตามดูว่าจะมีประเทศอื่นๆ รวมอยู่ในรายชื่อที่ต้องจับตามองหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเทศซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่พัฒนามากกว่า เช่น ชิลี โปแลนด์ และฮังการี ซึ่งมีภาระหนี้สินในรูปเงินตราต่างประเทศกว่า 50% ของยอดจีดีพี ต้องพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย
นักวิเคราะห์ค่อนข้างมีความเห็นพ้องกันว่า เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่กำลังปั่นป่วนจากแนวโน้มสำคัญสามเรื่อง
หนึ่ง คือ โอกาสการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และประเทศอื่นๆ
สอง คือ อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ทำให้เงินไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา เพราะจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่า
สาม คือ สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ลดลง หลังจากที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ และยุโรป ลดมาตรการอัดฉีดเงินหรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณลง
คำถามสำคัญในขณะนี้ก็คือ วิกฤติด้านการเงินในประเทศเศรษฐกิจโตเร็วเหล่านี้จะจำกัดและสามารถควบคุมได้ภายในแต่ละประเทศ หรือจะขยายตัวลุกลามส่งผลถึงประเทศอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็มีความเห็นต่างกันไป
อย่างคุณ Marcus Ashworth ของ Bloomberg ผู้เคยเป็นหัวหน้านักวางแผนตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ Haitong ที่กรุงลอนดอน เชื่อว่า ปัญหาที่เริ่มในประเทศหนึ่ง มักจะกลายเป็นภาระของประเทศอื่นได้ง่าย
แต่นักวิเคราะห์บางคนก็มองว่า ปัญหาเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากลักษณะเฉพาะและความท้าทายของแต่ละประเทศ จึงไม่น่าจะส่งผลลุกลามในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าปัญหาข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างประเทศที่อาจกลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ อาจกระตุ้นการไหลออกของเงิน โดยเฉพาะจากประเทศที่มีหนี้สินต่างประเทศจำนวนมาก และนำไปสู่ปัญหาวิกฤตทางการเงินได้
นอกจากนั้น ความเสี่ยงสำคัญที่สุดสำหรับประเทศเศรษฐกิจกำลังเติบโตขณะนี้ ก็คือ ความปั่นป่วนทางการเงินอาจทำให้นักลงทุนทั่วโลกละเลยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และหนีออกจากประเทศดังกล่าว
ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านั้นตกต่ำลง เพิ่มความกดดันเรื่องภาระหนี้สิน และกระตุ้นให้เกิดปัญหาวิกฤตที่ลุกลามอย่างที่เคยเกิดขึ้นได้เช่นกัน