เมื่อวันอังคาร นายไมเคิล บลูมเบิร์ก ผู้ประกาศตัวลงแข่งขันเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เปิดเผยเค้าโครงด้านนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีการซื้อขายพันธบัตร หลักทรัพย์ และสัญญาตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ ในอัตราสูงสุดคือ 0.1%
โดยจะค่อย ๆ เริ่มปรับจากอัตรา 0.02% ก่อน และจะมุ่งให้ความคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินและฟื้นฟูอำนาจของหน่วยงานที่ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการ รวมทั้งจะเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเกี่ยวกับระดับเงินทุนสำรองของธนาคารและเข้มงวดเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้ย่อหย่อนลงในช่วงรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนั้น นายไมเคิล บลูมเบิร์ก ยังเสนอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับภาวะวิกฤตจากภาระเงินกู้เพื่อการศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐ ด้วยการกำหนดวงเงินใช้คืนเงินกู้ตามระดับรายได้ และจะควบคุมการทำงานของบริษัทที่ติดตามเร่งรัดหนี้สิน พร้อมทั้งจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสูงสุดสำหรับการเบิกเงินเกินบัญชีด้วย
เรื่องที่น่าสังเกตก็คือ นายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กผู้มีทรัพย์สินราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในขณะนี้ ร่ำรวยมาจากธุรกิจการให้บริการด้านการเงินมาก่อน และเขาได้เคยวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปในช่วงที่สหรัฐมีวิกฤติด้านการเงินระหว่างปี 2550 ถึง 2552 ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายไมเคิล บลูมเบิร์ก ก็ได้เคยเสนอให้จัดเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากคนที่ร่ำรวย โดยเฉพาะได้มีข้อเสนอให้เก็บภาษีเพิ่มอีก 5% สำหรับผู้มีรายได้ประจำปีเกิน 5 ล้านดอลลาร์เช่นกัน
ถึงแม้ว่าเค้าโครงข้อเสนอด้านเศรษฐกิจและการเงินของนายไมเคิล บลูมเบิร์ก ครั้งนี้ จะยังไปไม่ไกลถึงระดับที่วุฒิสมาชิกเบอร์นีย์ แซนเดอร์ และวุฒิสมาชิกอลิซาเบ็ธ วอร์เรน ของพรรคเดโมแครตเคยเสนอไว้ เช่น ให้มีมาตรการควบคุมการทำธุรกิจของธนาคารขนาดใหญ่ รวมทั้งให้ธนาคารเหล่านี้ต้องวางมือจากธุรกิจบางอย่างก็ตาม
แต่นักวิเคราะห์บางคนก็มองว่า เค้าโครงข้อเสนอของนายบลูมเบิร์กแสดงให้เห็นว่า แนวนโยบายโดยทั่วไปที่เสนอโดยพรรคเดโมแครตขณะนี้กำลังขยับตัวไปสู่ตำแหน่งกลาง-ซ้ายมากขึ้น โดยอย่างน้อยคือในเรื่องของการทำธุรกิจและนโยบายเกี่ยวกับการเงิน
นายไอแซค โบทันสกี้ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายของบริษัท Compass Point Research ได้ชี้ว่า ขณะที่ภาพรวมโดยทั่วไปแสดงถึงการปรับจุดยืนจากผู้สมัครของพรรคเดโมแครตให้เป็นแนวประชานิยมมากขึ้นนั้น เขากลับมองว่า เค้าโครงข้อเสนอซึ่งนายบลูมเบิร์กนำมาเปิดเผยเมื่อวันอังคาร น่าจะเป็นความพยายามเพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีจากผู้สมัครแนวก้าวหน้าของพรรคเดโมแครตบนเวทีโต้อภิปรายที่นครลาสเวกัส รัฐเนวาดา ในวันพุธนี้มากกว่า
และก็เป็นที่แน่ชัดว่า ข้อเสนอของนายบลูมเบิร์กที่จะให้เก็บภาษีจากการซื้อขายพันธบัตรกับหลักทรัพย์ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 0.1% ดังกล่าว ย่อมทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากกลุ่มธุรกิจด้านนี้
โดยนายเคน เบนสัน CEO ของสมาคมตลาดการเงินและธุรกิจหลักทรัพย์ของสหรัฐ ได้แย้งว่า ภาษีการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ที่เกษียณจากงานในอเมริกาอย่างแน่นอน