คาดเมืองแรกในโลกที่มีประชากรถึง 100 ล้านคน จะอยู่ในแอฟริกา

Pedestrians shop at a busy Balogun Market in Lagos, Nigeria, Sept. 5, 2017. Nigeria announced it will start issuing visas on arrival to all Africans as a way to improve intra-African trade.

Your browser doesn’t support HTML5

เมืองแรกของโลกที่มีคน 100 ล้านจะอยู่ในแอฟริกา

ผลการศึกษาชิ้นใหม่จากสถาบันด้านเทคโนโลยีออนตาริโอ (Ontario Institute of Technology) ชี้ว่า ภายในปลายคริสต์ศตวรรษนี้ คาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นไปถึง 14,000 ล้านคน เเละ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในเขตเมือง

ศาสตราจารย์ เดนเนียล ฮูร์นเวค ผู้ร่วมร่างผลการวิจัย (Professor Daniel Hoornweg) กล่าวว่า เรากำลังเห็นการขยายตัวของเขตเมืองไปทั่วจีน เเละกำลังมุ่งหน้าไปยังอินเดียเเละหลังจากนั้นก็จะเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟริกา

นั่นอาจหมายความว่า จะมีเมืองเเรกของโลกที่มีประชากร 100 ล้านคน เเละเมืองอันดับหนึ่งที่น่าจะได้ตำแหน่งนี้ คือ เมืองลากอส อดีตเมืองหลวงของไนจีเรีย (Lagos, Nigeria)

ปัจจุบันนี้ เมืองลากอสมีประชากร 20 ล้านคน แม้ว่าจะไม่ถือว่ามีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก แต่ก็มีประชากรเพิ่มขึ้นเร็วมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง โดยเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในปัจจุบัน คือกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น ที่มีประชากรราว 38 ล้านคน

ในช่วงสองรุ่นคนที่ผ่านมา เมืองลากอสได้มีประชากรเพิ่มขึ้น 100 เท่าตัว เเละภายในปี พ.ศ. 2653 เมืองลากอสอาจจะมีประชากรมากกว่าจำนวนคนในรัฐเเคลิฟอร์เนียทั้งหมด

ศาสตราจารย์ ฮูร์นเวค กล่าวว่า เมืองลากอส เมืองดาร์ เอส ซาลาม (Dar Es Salaam) และกรุงกินชาซา (Kinshasa) เมืองเหล่านี้น่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าตัว เเละภายในปลายคริสต์ศตวรรษนี้ เมืองที่จะมีจำนวนประชากรมากที่สุด 20 อันดับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปแอฟริกา

เมืองลากอส ขยายตัวกินพื้นที่ 1,000 ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าไปจนถึงชุมชนกระท่อมเเละสลัม ประชากรของเมืองลากอสเพิ่มขึ้นที่ระดับ 900 คนต่อวัน

กลุ่มประชาชนที่ยากจนที่สุดของเมือง มักเป็นคนในชุมชนผู้อพยพย้ายถิ่น ที่อาศัยในสลัมติดกับหนองน้ำ หน่วยงาน Amnesty International ได้เตือนว่า การบังคับโยกย้ายคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่เพื่อการพัฒนาใหม่ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนมากกว่า 30,000 คน กลายเป็นคนไร้บ้าน

โอลาดีพูโพ เอวีโอมิเย (Oladipupo Aiveomiye) อาศัยในชุมชนกระท่อมในเมืองลากอส เขากล่าวว่า คนในชุมชนต่างมีความกลัวว่าจะถูกขับไล่หรือบังคับโยกย้ายออกจากพื้นที่ในช่วงกลางคืน

ทั่วทวีปแอฟริกา ระดับอายุมัธยฐานอยู่ต่ำกว่า 20 ปีเ เละอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 4.4 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน นี่ทำให้เเม้เเต่เมืองเล็กๆ ก็คาดว่าจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก

กรุงนีอาเม (Niamey) เมืองหลวงของสาธารณรัฐไนเจอร์ (Niger) อาจโตจากประชากรน้อยกว่า 1 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 46 ล้านคนภายในปลายศตวรรษนี้ เเละเช่นเดียวกับเมืองเเบลนไทร์ (Blantyre) ในมาลาวี (Malawi) ที่จะโตจากประชากร 1 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน

ในทวีปเอเชียก็เช่นกันที่จะเห็นการเติบโตอย่างมากของจำนวนประชากรในเขตเมืองใหญ่ อย่าง กรุงคาบูล ของอัฟกานิสถาน ที่คาดว่าจะมีประชากรถึง 50 ล้านคน

ศาสตราจารย์ ฮูร์นเวค กล่าวว่า ถึงเเม้ว่าอาจจะมีปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นสลัม ระบบสุขาภิบาลที่ด้อยเเละปัญหามลพิษ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในเขตเมืองอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะลักษณะทางธรรมชาติที่เสนอวิถีชีวิตที่ใช้พื้นที่จำกัดลง อาจช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าในพื้นที่อื่นๆ เพราะมีการใช้พลังงานต่อหนึ่งหน่วยของระดับจีดีพีในปริมาณน้อยกว่า ดังนั้น เมืองใหญ่น่าจะเสนอโอกาสที่ดีกว่าเพราะมีความยั่งยืนกว่า

สำหรับเมืองใหญ่หลายๆ เมืองในชาติตะวันตก คาดว่าภายในปลายคริสต์ศตวรรษนี้ จะมีเมืองในชาติตะวันตกเพียง 14 เมืองเท่านั้น ที่จะยังอยู่ในบรรดาเมืองใหญ่ที่สุด 100 เเห่งในทวีปอเมริกาเหนือหรือในยุโรป

(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)