ซีดีซี ไฟเขียว ‘ไฟเซอร์-โมเดอร์นา-จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน’ เป็นวัคซีนบูสเตอร์

Frascos de las vacunas contra el COVID-19 de los laboratorios Moderna, Johnson & Johnson y Pfizer BioTech.

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิ หรือ บูสเตอร์ สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิดที่ผลิตโดยโมเดอร์นา (Moderna) และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) พร้อมเสริมว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนชนิดเดียวกันเป็นเข็มบูสเตอร์

คณะกรรมการที่ปรึกษาของ CDC ออกคำแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้รับวัคซีนโควิดชนิด 1 เข็ม ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในระยะ 2 เดือนหรือนานกว่านั้น ให้เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์ได้

ขณะที่ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ที่ได้รับวัคซีนโควิดชนิด 2 เข็ม ทั้งของไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา สามารถเข้ารับวัคซีนเข็มสามได้ หลังจากฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 6 เดือนหรือนานกว่านั้น และทาง CDC ยังเสริมด้วยว่า วัคซีนกระตุ้นภูมิไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนชนิดเดียวกันก็ได้

แพทย์หญิงโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC เห็นชอบในกรอบคำแนะนำจากคณะกรรมการที่ปรึกษาของ CDC ในวันพฤหัสบดี (21 ตุลาคม) ซึ่งสอดรับกับแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ หรือ FDA ที่เพิ่งอนุมัติการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน หรือ บูสเตอร์ ของโมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไปเมื่อวันพุธ (20 ตุลาคม) และทาง FDA แสดงจุดยืนสนับสนุนให้ชาวอเมริกันเลือกฉีดวัคซีนบูสเตอร์ที่แตกต่างจากวัคซีนโดสแรกด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ผลการศึกษาโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. National Institute of Heath) ชี้ว่า ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนแบบ 1 เข็มของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แล้วได้วัคซีนบูสเตอร์ ของ โมเดอร์นา จะมีแอนติบอดี (Antibody) เพิ่มขึ้นถึงกว่า 76 เท่า หรือหากได้รับบูสเตอร์ของไฟเซอร์ ปริมาณแอนติบอดี จะเพิ่มขึ้น 35 เท่า ขณะที่การรับวัคซีนเข็มที่ 2 ของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เอง กลับเพิ่มระดับแอนติบอดีเพียง 4 เท่าเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ หลายประเทศ ซึ่งรวมถึง สหราชอาณาจักร ได้สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนผสมสูตรไปแล้ว สำหรับวัคซีนของบริษัท แอสตราเซเนกา ที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีการฉีดในสหรัฐฯ

คำแนะนำการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิของ CDC มีขึ้นวันเดียวกับที่สหรัฐฯ มาถึงหลักชัยในการแจกจ่ายวัคซีน 200 ล้านโดสให้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามคำมั่นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ว่า สหรัฐฯ คือคลังวัคซีนของโลก

SEE ALSO: สหรัฐฯ นำส่งวัคซีนโควิด-19 ให้ทั่วโลกแล้ว 200 ล้านโดส

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว People’s Vaccine Alliance ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอิสระ Global Justice Now องค์กร Oxfam และ UNAIDS เปิดเผยรายงานที่พบว่า วัคซีนโควิดที่ประเทศร่ำรวยประกาศจะบริจาค 1,800 ล้านโดสนั้น มีเพียง 14% หรือ 261 ล้านโดส ที่ส่งถึงประเทศรายได้น้อย

ขณะที่มีวัคซีนเพียง 120 ล้านโดส ที่ผู้ผลิตวัคซีนทั้งแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โมเดอร์นา ไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค ที่ส่งมาถึงโครงการโคแวกซ์ (COVAX) คิดเป็น 12% ของเป้าหมายที่เสนอบริจาค 944 ล้านโดส ซึ่งภาวการณ์ขาดแคลนวัคซีนนี้ ทำให้ผู้คนในกลุ่มประเทศยากจนเพียง 1.3% ที่ได้รับวัคซีนครบโดส