วันแห่งการโกหก “April Fools’ Day” โกหกกันทำไม?

April Fools Day

วัน April Fools ตรงกับวันที่ 1 เม.ย ของทุกๆ ปี หลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และบราซิล ต่างฉลองวันนี้ โดยเชื่อกันว่าเริ่มมีการพูดถึงวันแห่งการโกหกหรือ April Fools’ Day มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19

ปกติในวัน April Fools ผู้คนจะแกล้งหลอกกันแบบพอหยอกๆ ให้ขำๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่มีการแกล้งกันแบบเจ็บๆ แรงๆ ทำให้อับอายไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังๆ เมื่อมีการถ่ายวีดิโอการแกล้งกันในวัน April Fools เผยแพร่ลงทางอินเทอร์เน็ต ก็ยิ่งทำให้การเล่นแกล้งคนอื่นในวันแห่งการโกหกนี้ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดวัน April Fools บอกว่าการแกล้งกันหยอกกัน และทำให้เกิดเสียงหัวเราะนั้นอาจเป็นผลดีต่อสุขภาพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด และลดความขุ่นข้องหมองใจ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ หลายบริษัทในสหรัฐฯ เช่น Google และ Apple ต่างสนับสนุนการเล่นแกล้งกันในวันนี้ เพื่อช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยบอกว่าวัน April Fools สนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะหลายครั้งที่การแกล้งกันนั้นเต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง พฤติกรรมที่หยาบคายน่ารังเกียจ และบางครั้งทำให้เกิดการตอบสนองในลักษณะเด็กเลี้ยงแกะ เช่น เมื่อวันที่ 1 เม.ย ปี ค.ศ 2004 บริษัท Google ประกาศว่าได้เพิ่มความจุใน Gmail เป็น 1 กิ๊กกะไบต์ ซึ่งเวลานั้นคู่แข่งรายอื่นให้ความจุน้อยกว่าคือเพียง 4 เมกะไบต์ แต่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากทั่วโลกต่างเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพียงคำโกหกของ Google ในวัน April Fools’ Day

สำหรับปีนี้ มีสื่อมวลชนหลายรายที่พยายามรณรงค์ให้ผู้คนเลิกแกล้งและเลิกโกหกกันในวัน April Fools’ Day หนึ่งในนั้นคือ John Oliver พิธีกรรายการทอล์คโชว์ชื่อดัง “Last Week Tonight”

John Oliver บอกว่าวัน April Fools’ Day เป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระ เป็นวันซึ่งคนงี่เง่าชอบใช้เป็นข้ออ้างในการแกล้งคนอื่น เป็นวันซึ่งเปิดโอกาสให้คนทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของกันและกัน พิธีกรทอล์คโชว์ผู้นี้บอกว่าในที่สุดแล้ว ไม่มีใครชอบใจกับการกลั่นแกล้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกแกล้งหรือคนที่แกล้งคนอื่น

John Oliver ยังได้ขอให้ผู้ชมทุกคนยกมือขวาขึ้นมาแล้วกล่าวปฏิญาณตามตนเองว่า ปีนี้จะไม่แกล้งใคร จะไม่หลอกลวงใคร จะไม่โพสต์ในเฟสบุ้คหลอกใครว่ากำลังจะแต่งงาน และจะไม่ช่วยกระจายข่าวลือว่าดาราคนไหนเพิ่งเสียชีวิตไป

รายงานจาก WSJ, Huffington Post และ Wikipedia / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล