รายงานฉบับใหม่ของธนาคารโลกชี้ว่า แนวโน้มด้านสภาพภูมิอากาศโลกในปัจจุบันอาจทำให้การพัฒนาต้องล่าช้าออกไปหลายสิบปี และยิ่งสร้างปัญหาความยากจนในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในโลก คือในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแถบตอนใต้ของทะเลทรายซะฮาร่าในอาฟริกา
รายงานของธนาคารโลกที่ใช้ชื่อว่า “Turn Down the Heat” หรือปรับอุณหภูมิให้เย็นลง ให้ภาพรวมถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมาจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่ผลผลิตด้านอาหารลดลง น้ำขาดแคลน คลื่นความร้อนรุนแรงทั่วโลก ไปจนถึงอุทกภัยครั้งใหญ่
รายงานชิ้นนี้เป็นรายงานต่อเนื่องจากชิ้นก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาหนึ่งชั่วอายุคน และอาจเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส ภายในเวลาสิ้นศตวรรษนี้หากยังไม่มีมาตรการลดปริมาณมลพิษทั่วโลกที่ได้ผล รายงานระบุว่าปัจจุบันอุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงกว่าระดับเมื่อช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 0.8 องศาเซลเซียส
รายงานของธนาคารโลกมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคยากจนของโลกที่เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด คือแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ แถบตอนใต้ของทะเลทรายซะฮาร่าในอาฟริกา โดยชี้ว่าในเอเชียใต้ การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้การคาดการณ์ฤดูมรสุมทำได้ยากขึ้น และจะทำให้เกิดภัยแล้งและน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้น ระดับน้ำในแม่น้ำสายสำคัญๆเช่นแม่น้ำสินธุและคงคาจะลดลง ผลผลิตด้านอาหารจะลดลงส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชากรราว 63 ล้านคน เมืองใหญ่ๆที่อยู่ตามแนวชายฝั่งเช่นเมืองกัลกะต้าและนครมุมไบจะมีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมมากขึ้น เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
ส่วนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานชิ้นนี้ระบุว่าจะเกิดพายุโซนร้อนบ่อยขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและสัตว์น้ำต่างๆจะลดจำนวนลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตที่พึ่งพาสายน้ำและท้องทะเลของผู้คนในแถบนี้
คุณ Onno Ruhl ผอ.ของธนาคารโลกสาขาอินเดีย กล่าวว่าคนยากจนคือกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถปกป้องตนเองจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ จนท.ธนาคารโลกผู้นี้กระตุ้นให้ภาคประชาชนและรัฐบาลร่วมมือกันต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน ด้วยการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์เรือนกระจกลงให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ประชาชนแต่ละคนควรเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดพลังงาน มากกว่าจะเลือกตามแบบที่ตนคิดว่าสวยงามที่สุด
รายงานของธนาคารโลกที่ใช้ชื่อว่า “Turn Down the Heat” หรือปรับอุณหภูมิให้เย็นลง ให้ภาพรวมถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมาจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่ผลผลิตด้านอาหารลดลง น้ำขาดแคลน คลื่นความร้อนรุนแรงทั่วโลก ไปจนถึงอุทกภัยครั้งใหญ่
รายงานชิ้นนี้เป็นรายงานต่อเนื่องจากชิ้นก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาหนึ่งชั่วอายุคน และอาจเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส ภายในเวลาสิ้นศตวรรษนี้หากยังไม่มีมาตรการลดปริมาณมลพิษทั่วโลกที่ได้ผล รายงานระบุว่าปัจจุบันอุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงกว่าระดับเมื่อช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 0.8 องศาเซลเซียส
รายงานของธนาคารโลกมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคยากจนของโลกที่เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด คือแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ แถบตอนใต้ของทะเลทรายซะฮาร่าในอาฟริกา โดยชี้ว่าในเอเชียใต้ การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้การคาดการณ์ฤดูมรสุมทำได้ยากขึ้น และจะทำให้เกิดภัยแล้งและน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้น ระดับน้ำในแม่น้ำสายสำคัญๆเช่นแม่น้ำสินธุและคงคาจะลดลง ผลผลิตด้านอาหารจะลดลงส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชากรราว 63 ล้านคน เมืองใหญ่ๆที่อยู่ตามแนวชายฝั่งเช่นเมืองกัลกะต้าและนครมุมไบจะมีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมมากขึ้น เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
ส่วนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานชิ้นนี้ระบุว่าจะเกิดพายุโซนร้อนบ่อยขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและสัตว์น้ำต่างๆจะลดจำนวนลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตที่พึ่งพาสายน้ำและท้องทะเลของผู้คนในแถบนี้
คุณ Onno Ruhl ผอ.ของธนาคารโลกสาขาอินเดีย กล่าวว่าคนยากจนคือกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถปกป้องตนเองจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ จนท.ธนาคารโลกผู้นี้กระตุ้นให้ภาคประชาชนและรัฐบาลร่วมมือกันต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน ด้วยการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์เรือนกระจกลงให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ประชาชนแต่ละคนควรเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดพลังงาน มากกว่าจะเลือกตามแบบที่ตนคิดว่าสวยงามที่สุด
