ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ธุรกิจฟาร์มกังหันลม ร่วมมือกลุ่มอนุรักษ์ฯ ปกป้องพันธุ์วาฬหายาก


Offshore Wind Whales
Offshore Wind Whales

ความกังวลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในทะเลบางสายพันธุ์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจกังหันลมและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มหันหน้ามาร่วมมือกันดำเนินโครงการใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้ความกลัวที่ว่านี้กลายมาเป็นความจริงแล้ว

เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผู้พัฒนาฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง พร้อมทั้งองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมจำนวน 3 แห่ง ประกาศความร่วมมือในการช่วยปกป้องวาฬไรท์แอตแลนติกเหนือที่เป็นสายพันธุ์หายาก ระหว่างที่ทำการก่อสร้างและปฏิบัติงานในโครงการผลิตพลังงาน

ข้อตกลงดังกล่าว เป็นการลงนามร่วมกันของกิจการร่วมค้า Orsted and Eversource ผู้พัฒนาฟาร์มกังหันลม South Fork Wind ที่ตั้งอยู่บริเวณนอกชายฝั่งนิวอิงแลนด์และนิวยอร์ก พร้อมทั้งองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม สหพันธ์ National Wildlife Federation กลุ่มคณะที่ปรึกษา Natural Resources Defense Council (NRDC) และ มูลนิธิ Conservation Law Foundation

อลิสัน เชส นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสจาก NRDC กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวช่วยส่งเสริมการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนพร้อมทั้งปกป้องชีวิตของสัตว์ โดยเธอเสริมว่า “เราไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการพัฒนาพลังงานสะอาด หรือการคุ้มครองสัตว์ในธรรมชาติ ข้อตกลงนี้ช่วยให้เราสามารถทำควบคู่ไปได้”

นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลคาดการณ์ว่า วาฬไรท์แอตแลนติกเหนือมีจำนวนไม่เกิน 340 ตัว และพวกมันถูกคุกคาม จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เหยื่อของพวกมันและถิ่นที่อยู่มีความเปลี่ยนไป บางส่วนถูกจับ รวมไปถึงเกิดการชนปะทะระหว่างเรือและวาฬไรท์แอตแลนติกเหนือ

ในข้อตกลงดังกล่าว ทาง South Fork Wind จะใช้มาตรการเฝ้าระวัง เพื่อทำให้มั่นใจว่า วาฬจะไม่อยู่ใกล้บริเวณการก่อสร้าง อีกทั้งจะลดระดับเสียงรบกวนจากการก่อสร้าง และจำกัดความเร็วการเดินเรือของโครงการ ให้ไม่เกิน 10 น็อตเพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุการปะทะกับวาฬ

Offshore Wind Whales
Offshore Wind Whales

พริสซิลลา บรูคส์ รองประธานและผู้อำนวยการของมูลนิธิ Conservation Law Foundation ให้ความเห็นว่า “การจำกัดความเร็วของการเดินเรือ รวมถึงมาตรการจัดการของ South Fork Wind ที่ปรับเปลี่ยนไป จะช่วยปกป้องวาฬเหล่านี้ ทั้งจากการบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เป็นผลมาจากการดำเนินโครงการ”

นอกจากนี้ทาง South Fork Wind จะทำการทดสอบเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ อย่างเช่น กล้องตรวจจับความร้อน และเซ็นเซอร์เสียงที่มีศักยภาพในการติดตามความเคลื่อนไหวของวาฬ ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมได้ จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ของโครงการในอนาคต

ทางด้าน ร็อบ มาสเทรีย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการของ Orsted ที่ดูแล South Fork Wind บอกว่า “จากประสบการณ์ 30 ปี ในการสร้างและดำเนินการฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง ข้อตกลงที่เกิดขึ้นจะมาช่วยเพิ่มศักยภาพในการปกป้องสิ่งมีชีวิตในทะเล ส่วนการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ จะมาช่วยเสริมในการรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังช่วยให้โครงการถูกพัฒนาขึ้นอย่างเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ”

ที่ตั้งของโครงการ South Fork Wind อยู่ห่างจากเกาะ Block Island ในรัฐโรดไอแลนด์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากประภาคาร Montauk Point ในรัฐนิวยอร์กไปทางตะวันออก 56 กิโลเมตร

มีการคาดว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถผลิตกระแสไฟได้ราว 130 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานของ 70,000 ครัวเรือน โดยระบบเชื่อมต่อจะส่งพลังงานไปยังระบบไฟฟ้าส่วนกลางของเกาะ Long Island รัฐนิวยอร์ก ซึ่งจะถือว่าเป็นฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งแห่งแรกของรัฐ และจัดว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการเริ่มต้นอุตสาหกรรมลมนอกชายฝั่งของพื้นที่นี้

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มการก่อสร้างในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในปลายปี 2023

U.S. President Joe Biden speaks during the UN Climate Change Conference (COP26) in Glasgow, Scotland, Britain, Nov. 1, 2021.
U.S. President Joe Biden speaks during the UN Climate Change Conference (COP26) in Glasgow, Scotland, Britain, Nov. 1, 2021.

การพัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่ง ถือว่าเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งมีความต้องการที่จะเห็นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมนอกชายฝั่งให้ได้ถึง 30 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 โดยตัวเลขดังกล่าวจะเพียงพอต่อการใช้งานไฟฟ้า สำหรับมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน

อย่างไรก็ดี มีความกังวลจากอุตสาหกรรมประมงเชิงพาณิชย์ ที่มองว่าโครงการกังหันลมนอกชายฝั่ง จะทำให้การทำประมงในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกเกิดความยากลำบาก อีกทั้งยังชี้ว่า กังหันลมขนาดใหญ่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของนกจำนวนมากด้วย

  • ที่มา: เอพี
XS
SM
MD
LG