แม้รัฐธรรมนูญของสหรัฐระบุไว้ว่า ประธานาธิบดีคือผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ แต่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจกับรัฐสภาสหรัฐในการประกาศสงครามและควบคุมงบประมาณในการทำสงครามนั้น นอกจากนี้ กฎหมายอำนาจการทำสงครามของสหรัฐยังกำหนดไว้ว่า ปธน.ต้องแจ้งให้รัฐสภาทราบภายใน 48 ชม.ก่อนที่จะใช้มาตรการทางทหาร และห้ามกองกำลังของสหรัฐประจำอยู่ในพื้นที่สงครามนานกว่า 60 วันหากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภา
นับตั้งแต่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงระหว่างปธน.กับรัฐสภาอเมริกันอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่ปธน.สหรัฐได้ตัดสินใจใช้กำลังทหารในต่างประเทศหลังจากได้ปรึกษากับบรรดาผู้นำของรัฐสภาแล้ว แต่บางครั้งก็สั่งการโดยมิได้รอการอนุมัติหรือลงมติอย่างเป็นทางการจากรัฐสภา
ศาสตราจารย์ Michael Corgan ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Boston University ระบุว่า ปธน.Obama มีอิสระในการใช้มาตรการทหารต่อซีเรียหากตัดสินใจว่าจะทำเช่นนั้นจริง โดยชี้ว่าด้วยเทคโนโลยีทางทหารที่สหรัฐมีอยู่ ปธน.Obama สามารถสั่งการให้โจมตีอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ แล้วค่อยถอนกำลังพร้อมกล่าวคำขอโทษตามหลัง แทนที่จะรอให้รัฐสภาอนุญาตก่อน
เมื่อสองปีที่แล้ว ปธน.Obama ได้เคยสั่งการให้กองทัพสหรัฐเข้าร่วมในปฏิบัติการโจมตีลิเบียเพื่อสนับสนุนมติของสหประชาชาติ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ผ่านการรับรองของรัฐสภา และนักวิเคราะห์เชื่อว่าหากยังไม่มีมติสหประชาติให้ใช้มาตรการทางทหารต่อซีเรียออกมาในทันที รัฐบาลสหรัฐอาจต้องพึ่งประเทศพันธมิตรอื่น เช่นอังกฤษหรือฝรั่งเศส ในการตอบโต้ทางทหารต่อกองกำลังรัฐบาลซีเรีย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.Obama ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่าเมื่อมีการใช้อาวุธเคมีอย่างกว้างขวางและมีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก หมายความว่าสหรัฐจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการควบคุมจัดการ เพราะถือเป็นผลประโยชน์ของสหรัฐทั้งในด้านการป้องกันไม่ให้อาวุธเคมีแพร่ขยายออกไป และปกป้องพันธมิตรของสหรัฐในพื้นที่แถบนั้น
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจว่ากองทัพสหรัฐจะแทรกแซงสงครามในซีเรียหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์จากเรือรบของสหรัฐในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกใส่เป้าหมายทางทหารในซีเรีย ดังที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐบางคน รวมทั้ง ส.ว John McCain เรียกร้องให้ทำเช่นนั้น
รายงานจาก Ken Bredemeier / เรียบเรียงโดย ทรงพจน์ สุภาผล
นับตั้งแต่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงระหว่างปธน.กับรัฐสภาอเมริกันอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่ปธน.สหรัฐได้ตัดสินใจใช้กำลังทหารในต่างประเทศหลังจากได้ปรึกษากับบรรดาผู้นำของรัฐสภาแล้ว แต่บางครั้งก็สั่งการโดยมิได้รอการอนุมัติหรือลงมติอย่างเป็นทางการจากรัฐสภา
ศาสตราจารย์ Michael Corgan ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Boston University ระบุว่า ปธน.Obama มีอิสระในการใช้มาตรการทหารต่อซีเรียหากตัดสินใจว่าจะทำเช่นนั้นจริง โดยชี้ว่าด้วยเทคโนโลยีทางทหารที่สหรัฐมีอยู่ ปธน.Obama สามารถสั่งการให้โจมตีอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ แล้วค่อยถอนกำลังพร้อมกล่าวคำขอโทษตามหลัง แทนที่จะรอให้รัฐสภาอนุญาตก่อน
เมื่อสองปีที่แล้ว ปธน.Obama ได้เคยสั่งการให้กองทัพสหรัฐเข้าร่วมในปฏิบัติการโจมตีลิเบียเพื่อสนับสนุนมติของสหประชาชาติ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ผ่านการรับรองของรัฐสภา และนักวิเคราะห์เชื่อว่าหากยังไม่มีมติสหประชาติให้ใช้มาตรการทางทหารต่อซีเรียออกมาในทันที รัฐบาลสหรัฐอาจต้องพึ่งประเทศพันธมิตรอื่น เช่นอังกฤษหรือฝรั่งเศส ในการตอบโต้ทางทหารต่อกองกำลังรัฐบาลซีเรีย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.Obama ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่าเมื่อมีการใช้อาวุธเคมีอย่างกว้างขวางและมีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก หมายความว่าสหรัฐจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการควบคุมจัดการ เพราะถือเป็นผลประโยชน์ของสหรัฐทั้งในด้านการป้องกันไม่ให้อาวุธเคมีแพร่ขยายออกไป และปกป้องพันธมิตรของสหรัฐในพื้นที่แถบนั้น
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจว่ากองทัพสหรัฐจะแทรกแซงสงครามในซีเรียหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์จากเรือรบของสหรัฐในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกใส่เป้าหมายทางทหารในซีเรีย ดังที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐบางคน รวมทั้ง ส.ว John McCain เรียกร้องให้ทำเช่นนั้น
รายงานจาก Ken Bredemeier / เรียบเรียงโดย ทรงพจน์ สุภาผล
