ปัญหาขาดดุลย์งบประมาณที่สะสมมานานหลายปีทั้งในสมัยรัฐบาลพรรครีพับริกันและเดโมแครตทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องกู้เงินในรูปของการออกพันธบัตรเพื่อปิดหีบงบประมาณในแต่ละปี และขณะนี้ยอดหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะชนเพดานการกู้เงินซึ่งรัฐสภาฯ ได้อนุมัติไว้ที่ระดับ 14 ล้านล้าน $ ในราวกลางเดือนพฤษภาคม และนาย Timothy Geithner รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เตือนว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรงด้านการเงินถ้ารัฐสภาไม่ขยายเพดานการกู้ยืมนี้ เพราะจะเป็นผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องผิดนัดชำระหนี้ และตลาดการเงินรวมทั้งนักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นเพื่อชดเชยกับความเสี่ยง และจะเป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นรวมทั้งมีผลอื่นๆ ตามมา
ขณะนี้พรรครีพับริกันซึ่งคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ต้องการใช้ประเด็นดังกล่าวกดดันให้ประธานาธิบดีโอบาม่าและพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณในโครงการสังคมต่างๆ ลงและทำให้อัตราภาษีอยู่ในระดับต่ำ แต่พรรคเดโมแครตต้องการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินภาครัฐด้วยการขึ้นภาษีกับคนรวย และตัดงบประมาณกลาโหมลง อย่างไรก็ตามนาย Timothy Bitsberger อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังเชื่อว่าการทำความตกลงในเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่พรรครีพับริกันคงจะใช้เป็นข้อต่อรองทางการเมืองให้ได้ข้อแลกเปลี่ยนต่างๆ และคงจะหลังจากที่มีการตีสำนวนโวหารและใช้ปัญหาเรื่องนี้เป็นเครื่องหาเสียงทางการเมือง ส่วนนาย Steve Hess นักวิเคราะห์ด้านพันธบัตรรัฐบาลของบริษัท Moody’s Investor Service ก็เชื่อว่าปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่เกิดขึ้น และขณะนี้ตลาดการเงินและผู้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลยังไม่แสดงความวิตกกังวล ดังจะเห็นได้จากการที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่สูงขึ้นมาก