การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลจีน สั่งปิดสถานกงสุลของกันและกันเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจที่ดิ่งลงถึงระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังกระแสความขัดแย้งของทั้งคู่ดำเนินมานานหลายเดือน และครอบคลุมประเด็นหลากหลาย อาทิ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 การที่รัฐบาลจีนสั่งปราบปราบการชุมนุมในฮ่องกง และข้อกล่าวที่ว่า รัฐบาลกรุงปักกิ่งทำการกดขี่ชาวมุสลิมอุยกูร์ ชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียง เป็นต้น
รายงานข่าวระบุว่า ทั้งชาวอเมริกันและชาวจีนออกมาแสดงความกังวลในเรื่องนี้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างมาก พร้อมกับแสดงความหวังว่า ทั้งสองประเทศจะหาทางออกจากการเผชิญหน้าที่คล้ายๆ จะเข้าใกล้ภาวะสงครามเย็นนี้ได้โดยเร็ว
ยื่อปิง เฟง ผู้สื่อข่าว วีโอเอ ประจำกรุงปักกิ่ง ได้ลองออกไปพูดคุยกับทั้งชาวอเมริกันและชาวจีน เกี่ยวกับความรู้สึกและสถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบันและพบว่า ทุกฝ่ายยังมีแนวคิดที่แตกต่างกันอยู่มาก
เอลเลียต แซกแมน ซึ่งเป็นนักเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจในจีน และมีพอดแคสต์ของตนเอง บอกกับ วีโอเอ ว่า แม้เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พูดถึงจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ ควรเปลี่ยนแปลงท่าทีปฏิบัติต่อจีน และรัฐบาลกรุงวอชิงตันควรหาหนทางที่ทั้งมีความคิดสร้างสรรค์และเน้นย้ำแนวคิดต่างๆ เพื่อให้จีนเปลี่ยนแปลงให้ได้ แต่เขายอมรับว่า สถานการณ์ในจีนเปลี่ยนไปมาก หลังรัฐบาลกรุงปักกิ่งเริ่มมีท่าทีอันเป็นเผด็จการและแข็งขันมากขึ้น ทำให้เกิดศัตรูขึ้นมาไปทั่ว
อย่างไรก็ดี แซกแมน หวังว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้น อาจนำมาซึ่งความหวังในการแก้ไขความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศได้ เพราะหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลและมีการริเริ่มการเจรจากัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมีความยืดหยุ่นอยู่ที่จะมาพูดคุยกันได้
ส่วน หลิว เซียวหุย อดีตนักธุรกิจชาวจีนจากมณฑลเหอหนาน ที่อพยพมาอยู่ที่สหรัฐฯ เนื่องจากกลัวว่าตนจะเป็นอันตรายหลังเปิดโปงเรื่องคอร์รัปชั่นทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและตำรวจในท้องถิ่น บอกว่า สหรัฐฯ ควรจะมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนและรัฐบาลชุดปัจจุบันให้มากขึ้น
หลิว บอกกับ วีโอเอ ว่า สหรัฐฯ ควรจะลงโทษรัฐบาลจีนที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อประชาชน ด้วยมาตรการที่รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัว และใช้นามสมมติว่า มร.วาย (Y) บอกว่า ตนเป็นเจ้าของกิจการคลินิกทำฟันในกรุงปักกิ่งและมีบุตรที่กำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐฯ แสดงความหวังว่า ทั้งสองประเทศจะอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ เพราะไม่มีใครในโลกสามารถหยุดยั้งการผงาดขึ้นมาของจีนได้ ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของโลกโดยไม่พึ่งใคร โดยเฉพาะสหรัฐฯ
นอกจากนี้แล้ว เสิ่น ติงลี่ ผู้สันทัดกรณีด้านความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน บอกกับ วีโอเอ ว่า คำพูดของรมต.พอมเพโอ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังของสหรัฐฯ ต่อการที่จีนไม่สามารถทำตามคำมั่นและพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาคมโลกได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่น้ำเสียงที่ส่งออกมานั้นเป็นไปในลักษณะต้องการเผชิญหน้ามากเกินไป
เสิ่น ย้ำว่า กรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตันเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่ใช่ศัตรู แต่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และรมต.พอมเพโอ กลับปฏิบัติกับจีนเยี่ยงศัตรูของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ไม่เป็นการกระทำที่ฉลาดเลย และกล่าวว่าการที่รัฐบาลทั้งสองสั่งปิดสถานกงสุลของกันแนะกันนั้นเป็นการตัดสินใจทำการที่ไม่สร้างสรรค์และทำให้มีโอกาสเกิดสงครามขึ้นได้ด้วย