‘ลิซ ทรัสส์’ - นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของอังกฤษ

ลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ได้รับเลือกจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมให้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ หลังอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ถูกกดดันหนักจนกต้องก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อ 2 เดือนก่อน

ลิซ ทรัสส์ ในวัย 47 ปี กลายมาเป็นผู้นำหญิงคนที่ 3 ของอังกฤษ หลังสามารถกุมคะแนนเสียงสมาชิกส่วนใหญ่ในพรรคได้มากกว่า ริชี่ ซุนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สำเร็จ

การลงคะแนนเสียภายในพรรคนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากพรรคอนุรักษ์นิยมยังคงกุมเสียงข้างมากในสภาอยู่ โดยทรัสส์จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของสหราชอาณาจักรในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2

บอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลภายใต้การนำของตนต้องเผชิญกับข่าวฉาวนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมถึง การแหกกฎการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่รัฐบาลประกาศบังคับใช้เอง

คาดกันว่า ทรัสส์จะขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันอังคาร หลังทั้งตัวเธอและอดีตนายกฯ จอห์นสัน เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธ ที่พระราชวังบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ หลังทรงออกคำเชิญอย่างเป็นทางการให้ว่าที่ผู้นำประเทศคนใหม่มาหารือการจัดตั้งรัฐบาล

หลังจากนั้น ทรัสส์น่าจะมีการกล่าวปราศรัยต่อชาวอังกฤษจากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ซึ่งเป็นทำเนียบนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นที่พำนักใหม่ของเธอ

ก่อนหน้านี้ หลายคนรู้จักทรัสส์ในฐานะผู้ต่อต้านแผนการถอนอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน เธอกลายมาเป็นผู้สนับสนุนนโยบายนี้อย่างแข็งขัน และเป็นผู้ที่นำเสนอนโยบายต่างประเทศสายเหยี่ยว เช่นเดียวกับอดีตนายกฯ จอห์นสัน ที่เน้นการรักษาจุดยืนอังกฤษในฐานะผู้ทำหน้าที่เชื่อมต่อกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตกในการส่งความช่วยเหลือไปยังยูเครน เพื่อช่วยต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย

ทรัสส์จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ในรอบ 6 ปี และเป็นผู้นำหญิงคนที่ 3 ของประเทศ ต่อจากมาร์กาเร็ต แธตเชอร์และเธเรซา เมย์

แต่สิ่งที่รอผู้นำรัฐบาลคนใหม่มาจัดการ หลังทรัสส์ก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือสิ่งที่หลายคนจับตารอดู และนั่นก็คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศและภาวะราคาพลังงานที่พุ่งสูง

หลังมีการประกาศชัยชนะในการลงคะแนนเสียภายในพรรคออกมา ทรัสส์ประกาศต่อสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมว่า เธอพร้อม “เสนอแผนงานชัดเจนในการลดภาษีและผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ” พร้อมระบุว่า เธอมีแผนการช่วยประชาชนรับมือกับภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน พร้อม ๆ กับจัดการปัญหาระยะยาวด้านอุปทานพลังงานด้วย

• ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพีและรอยเจอร์