ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งพักแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเป็นเวลา 1 เดือนในวันจันทร์ หลังการคุยหารือทางโทรศัพท์ของผู้นำเม็กซิโกและแคนาดา ตามรายงานของรอยเตอร์
นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโดและประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย ไชน์บาม ต่างได้คุยโทรศัพท์กับปธน.ทรัมป์ในวันจันทร์ ก่อนที่การเรียกเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร โดยทั้งสองผู้นำยอมตกลงที่จะเสริมกำลังตามแนวชายแดนที่ติดกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดการอพยพเข้าเมืองและการลักลอบค้ายาเสพติดตามคำเรียกร้องของทรัมป์
ทรูโดกล่าวว่า แคนาดาจะใช้เทคโนโลยีใหม่และเสริมกำลังพลตามแนวชายแดนเพื่อปิดกั้นการลักลอบนำยาเสพติดเฟนทานิลข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ โดยยังไม่มีรายงานยืนยันในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการออกมาจากทำเนียบขาว ขณะจัดทำรายงานข่าวนี้
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวหลังการคุยโทรศัพท์รอบที่ 2 กับผู้นำแคนาดาในวันจันทร์ว่า ทุกอย่าง “เป็นไปด้วยดี”
ส่วนประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย ไชน์บาม โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า ได้ยืนยันกับทรัมป์ว่า จะเสริมกองกำลังสำรองตามแนวชายแดนทางเหนือของตนอีก 10,000 นายเพื่อสกัดการหลั่งไหลของยาเสพติดเข้าไปในสหรัฐฯ และสหรัฐฯ จะเดินหน้าทำการป้องการการลักลอบการขนอาวุธร้ายแรงเข้าไปในเม็กซิโก หลังได้พูดคุยกันในวันจันทร์
ต่อมา ปธน.ทรัมป์ระบุในโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่า สหรัฐฯ และเม็กซิโกจะใช้เวลาที่ยังไม่เริ่มนโยบายเก็บภาษีนำเข้าใหม่ในการเจรจาหารือเพิ่มเติม พร้อมระบุว่า “ผมตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเข้าร่วมการเจรจาเหล่านี้ กับปธน.ไชน์บาม และเราจะพยายามหาทางบรรลุ “ข้อตกลง” ระหว่างสองประเทศของเรา”
ข้อมูลจากสำนักสำมะโนสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าเป็นมูลค่ากว่า 322,000 ล้านดอลลาร์ไปเม็กซิโก และนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกกว่า 475,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023
การตกลงพักแผนงานรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเกิดขึ้นหลังทรัมป์ประกาศแผนงานนี้ออกมาได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมงในการตั้งกำแพงภาษีจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจากจีนในอัตรา 10% โดยมูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ 3 ประเทศคู่ค้านี้อยู่ที่ราว 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
ทั้งนี้ เควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวในวันจันทร์ว่า การกล่าวว่า การเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นคือการทำสงครามการค้าเป็นการทำให้สังคมเข้าใจผิด แม้จะมีความเสี่ยงของการยกระดับของสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโต้ตอบมาจากแคนาดาและคำขู่จากจีนแล้ว
แฮสเซตต์กล่าวว่า “อ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่ปธน.ทรัมป์ระบุอย่างชัดแจ้ง 100% ให้ดีว่า นี่ไม่ใช่สงครามการค้า .. นี่เป็นสงครามยาเสพติด”
ขณะเดียวกัน ดั๊ก ฟอร์ด มุขมนตรีมณฑลออนแทรีโอ ซึ่งเป็นมณฑลที่มีประชากรมากที่สุดของแคนาดา ประกาศว่า จะระงับแผนการยุติสัญญาบริการอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ (Starlink) ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของ อิลอน มัสก์ ที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์ เพื่อโต้ตอบแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาของสหรัฐฯ
ฟอร์ดซึ่งประกาศคำสั่งห้ามการทำสัญญากับธุรกิจสัญชาติอเมริกันด้วยในครั้งนี้ ลงนามในสัญญามูลค่า 68 ล้านดอลลาร์กับบริษัทสตาร์ลิงก์ของมัสก์เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อขยายบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยังพื้นที่ห่างไกลในมณฑลนี้
ก่อนหน้านี้ ผู้นำมณฑลอื่น ๆ ของแคนาดาก็ประกาศว่าจะดำเนินการโต้ตอบนโยบายของทรัมป์เช่นกัน และมีการสั่งหยุดการจำหน่ายน้ำส้มจากรัฐฟลอริดา วิสกี้จากรัฐเทนเนสซีและถั่วลิสงจากรัฐเคนตักกี ในทันทีแล้ว โดยสามรัฐดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ทรัมป์และผู้ท้าชิงเก้าอี้วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วมาได้
- ที่มา: วีโอเอและรอยเตอร์
กระดานความเห็น