ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับว่า ประชาชนชาวอเมริกันจะต้องเจ็บตัวจากพิษเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายกำแพงภาษีต่อ 3 คู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ อันได้แก่ แคนาดา จีนและเม็กซิโก
ทรัมป์กล่าวว่า นโยบายภาษีนำเข้าใหม่สำหรับ 3 คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จะทำให้ราคาสินค้า น้ำมัน รถยนต์และข้าวของอื่น ๆ ที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายพุ่งสูงขึ้น แต่ชี้ว่า กำแพงภาษีใหม่นี้จะ “คุ้มค่า” กับการเพิ่มผลประโยชน์ของประเทศ
แม้ในรัฐบาลสมัยแรกของทรัมป์นั้น มีการเจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรีกับทั้งแคนาดาและเม็กซิโกไว้แล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ปธน.สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 25% จากทั้งสองประเทศโดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารนี้เป็นต้นไป ก่อนที่ผู้นำเม็กซิโกและแคนาดาจะเปิดเผยในวันจันทร์ว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในการพักการดำเนินแผนงานนี้ไว้ 1 เดือน
เหตุผลที่ทรัมป์อ้างในการดำเนินแผนงานดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีนำเข้า 10% จากจีน ก็คือ เพราะประเทศเหล่านี้ลงมือทำการไม่เพียงพอในการสกัดกั้นการอพยพเข้าสหรัฐฯ โดยผิดกฎหมายและกรณีการหลั่งไหลเข้ามาของยาเสพติดโดยเฉพาะยาเฟนทานิล
ก่อนหน้านี้ ทีมงานของทรัมป์พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับว่า นโยบายกำแพงภาษีดังกล่าวจะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น ขณะที่ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่า ประเด็นความไม่พอใจของผู้บริโภคต่อภาวะราคาสินค้าพุ่งสูงในช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้คือปัจจัยหลักที่ทำให้ทรัมป์ได้ชัยในการเลือกตั้งปธน.เหนือคามาลา แฮร์ริส เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
แต่หลังคว้าชัยมาเลือกตั้งมาได้ ทรัมป์ก็ยอมรับว่า การทำให้ราคาสินค้าในตลาดถูกลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเชื่อว่า การเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากการนำเข้าพลังงานของแคนาดาอีก 10% น่าจะช่วยจำกัดการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้าและพลังงานได้
เคียร์สเตน ฮิลล์แมน ทูตแคนาดาประจำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ This Week ทางสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า แคนาดารู้สึก “ผิดหวัง” และ “งงงวย” ไปกับสิ่งที่ทรัมป์ดำเนินการและกล่าวว่า มี “ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายไม่ถึง 1%” เดินทางเข้าสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนแคนาดา และยืนยันว่า แคนาดาทำการลงทุน “ในเครื่องมือมากมาย” เพื่อจัดการกับปัญหาการข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังทำการร่วมฝึกซ้อมกับฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อจับตัวบุคคลเหล่านั้นด้วย
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น