ศูนย์วิจัย Pew Research ของสหรัฐฯได้ตีพิมพ์การศึกษาฉบับล่าสุดถึงผลกระทบทางด้านการเงินและสุขภาพของโสดที่มีมากกว่าคนมีคู่
ขณะนี้ สหรัฐฯได้มีจำนวนคนโสดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 30 ปี จาก 17% เป็น 31% โดยการเพิ่มขึ้นของคนโสดนั้นส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่แต่งงานมากกว่าคนที่โสดที่แยกทางกับคู่สมรสหรือเป็นหม้าย
ย้อนเวลากลับไปในปี 1990 สาวโสดนั้นมีรายได้มากกว่าสาวที่มีคู่ แต่ในตอนนี้ สตรีที่มีคู่กลับมีแนวโน้มที่จะสามารถทำงานและอยู่ในองค์กรต่างๆ ได้นานกว่าสาวโสด
ส่วนชายโสดซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่าหญิงโสด ริชาร์ด ฟราย นักเศรษฐกิจอาวุโสที่สถาบัน Pew Research บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า ชายโสดส่วนใหญ่มักมีรายได้และการศึกษาที่ไม่สูงนัก พวกเขาเหล่านี้ถูกพิจารณาด้วยความสามารถในการหาเงินจึงทำให้หาคู่ลำบาก
คุณริชาร์ด ฟราย แนะนำให้นักการเมืองและผู้เขียนนโยบายต่างๆหันมาสนใจคนโสดมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้มีปัญหาสุขภาพมากกว่าคนมีคู่
เขาบอกว่า “พอเราดูเรื่องสุขภาพ คนโสดมักจะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น binge drinking ซึ่งก็คือการดื่มสุราอย่างหนักเวลาสังสรรค์หรือเมาแบบหัวราน้ำนั่นเอง คนโสดจึงมีอายุที่ไม่ยาวเท่าคนมีคู่ เพราะฉะนั้น คนโสดจึงถือเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง (at-risk population)”
ส่วนเบลล่า เดพอลโล นักจิตวิทยาของ University of California Santa Barbara ได้ออกมาเตือนว่าการศึกษาของศูนย์วิจัย Pew Research ชิ้นนี้อาจจะเป็นการประณามคนโสดและชี้ถึงปัญหาที่ไม่ได้มีต้นตอมาจากคนกลุ่มนี้จนเกินไป เธออธิบายว่า คนโสดนั้นมีรายได้และได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆน้อยกว่าคนมีคู่ แต่สิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่เกิดจากสภาพแวดล้อมและสังคมที่สนับสนุนให้คนแต่งงาน
ยกตัวอย่างจากกรณีของ เจสสิกา แคสชิวป์ที่แต่งงานมาแล้วหลายปี เธอได้รับประโยชน์ทางด้านการเงินจากการที่มีรายได้เข้ามาสองทางคือรายได้ของเธอและจากสามีของเธอ '
นอกจากนี้ บริษัทของสามีเธอยังมีนโยบายประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงเธออีกด้วย เธอจึงสามารถทำงานในฝันอย่างการเป็นคนควบคุมโรงละครเวทีได้ แม้งานดังกล่าวจะรายได้ที่น้อยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คนโสดหลายๆ คนซึ่งก็รวมถึงนักจิตวิทยาอย่างคุณเบลล่า ซึ่งเธอเองก็ครองโสดมานานกว่า 50 ปีนั้น กล่าวว่า การไม่มีคู่ชีวิตมีประโยชน์มากกว่าการได้รับผลประโยชน์ทางด้านการเงิน เพราะคนโสดนั้นสามารถใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงได้ และมีอิสรภาพในการชีวิตควบคู่กับการไม่ต้องพึ่งคนอื่นเพื่อมาสร้างความสุขให้ตนเองด้วย
(ที่มา: สำนักข่าวเอพี)
