สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในโปรตุเกสที่ยังรุนแรงอยู่ หมายถึง สภาพการทำงานที่หนักมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มพยาบาล ซึ่งมีรายงานว่า เป็นอาชีพที่ทำรายได้ต่ำกว่าค่าครองชีพ จนหลายคนต้องออกมาเรียกร้องให้มีการพิจารณาปรับขึ้นรายได้ แทนคำสรรเสริญแล้ว
สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า เท่าที่ผ่านมา นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียง และประชาชนทั่วโปรตุเกส ออกมาแสดงความชื่นชมและสรรเสริญผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่อยู่ในแถวหน้าของการรับมือวิกฤตโควิด-19 ตลอดเวลา แต่ในสายตาของบุคลากรด้านการแพทย์นั้น ปฏิกิริยาด้านบวกทั้งหมดเป็นการตอกย้ำความขุ่นข้องหมองใจ ที่รายได้ของตนนั้นน้อยนิดจนไม่พอกิน รวมทั้งปัญหาการขาดโอกาสที่จะก้าวหน้าในการงานด้วย
อิเนส โลเปซ พยาบาลวัย 30 ปี ในกรุงลิสบอน บอกกับ ผู้สื่อข่าว รอยเตอร์ส ว่า ขณะที่บรรดานักการเมืองเฝ้าบอกว่า เหล่าพยาบาลนั้นคือผู้ที่ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก แต่เงินเดือนกลับไม่เคยเพิ่มขึ้นเลย และเสียงปรบมือพร้อมคำขอบคุณนั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ อีกด้วย
โลเปซ กล่าวว่า พยาบาลหลายคนนั้นต้องทำงาน 2 แห่ง เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ขณะที่ สถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัสนั้นทำให้การทำงานนั้นหนักขึ้นมากกว่าที่เคย
รายงานข่าวระบุว่า ข้อมูลของระบบการให้บริการสาธารณสุขแห่งชาติของโปรตุเกสแสดงให้เห็นว่า มีผู้ปฏิบัติอาชีพพยาบาลอยู่เกือบ 45,500 คน โดยกว่าครึ่งของตัวเลขนี้ ซึ่งรวมถึง โลเปซ ด้วย มีรายได้เดือนละ 1,250 ยูโร หรือราว 1,465 ดอลลาร์ ก่อนหักภาษี และเมื่อหักภาษีแล้ว ตัวเลขรายได้จะเหลืออยู่เพียงประมาณ 980 ยูโร หรือสูงกว่าระดับค่าจ้างขั้นต่ำเพียง 315 ยูโรเท่านั้น
ในส่วนของ โลเปซ นั้น เธอจบการศึกษาด้านพยาบาลศาสตร์ในปี ค.ศ 2012 และใช้เวลาราว 1 ปีเพื่อหางาน และจวบจนวันนี้ เงินเดือนของเธอยังคงเท่าเดิมเหมือนเมื่อเธอเริ่มทำงาน
รายงานโดย องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ประจำปี ค.ศ 2019 ระบุว่า เงินเดือนของพยาบาลในเกือบทุกประเทศมีการปรับขึ้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อ 7 ปีก่อนหน้า แต่ในบางประเทศ เช่น โปรตุเกส และสเปน นั้น รายได้ของพยาบาลกลับลดลง เนื่องจากนโยบายปรับลดรายได้ของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี หลังจากประกาศปรับขึ้นค่าจ้างลูกจ้างภาครัฐ 0.3 เปอร์เซ็นต์ ไปเมื่อเดือนมีนาคมของปีที่แล้ว รัฐบาลโปรตุเกสเพิ่งอนุมัติมาตรการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือบุคลากรด้านสาธารสุขเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งการให้โบนัสเพิ่ม 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับการทำงานล่วงเวลา สำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในแถวหน้า และการอนุญาตให้ ระบบการให้บริการสาธารณสุขแห่งชาติ จ้างพยาบาลและแพทย์เพิ่ม