ลิ้งค์เชื่อมต่อ

มองจากนอกโลกยังรู้! ภาพถ่าย "มูลเพนกวิน" จากอวกาศ เผยพิกัดเพนกวินแห่งใหม่


(FILES) In this file photo taken on October 06, 2019 King penguins are seen at Volunteer Point, north of Stanley in the Falkland Islands (Malvinas), a British Overseas Territory in the South Atlantic Ocean, on October 6, 2019.
(FILES) In this file photo taken on October 06, 2019 King penguins are seen at Volunteer Point, north of Stanley in the Falkland Islands (Malvinas), a British Overseas Territory in the South Atlantic Ocean, on October 6, 2019.

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากอังกฤษและออสเตรเลีย ใช้เทคโนโลยีที่รุดหน้า ในการสืบเสาะค้นหาสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ รวมทั้งเผยการค้นพบใหม่เกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ของสัตว์ที่ได้ไม่ได้รับการเปิดเผยมาก่อนในโลกด้วยเช่นกัน

please wait

No media source currently available

0:00 0:04:00 0:00


ทีมนักวิทยาศาสตร์อังกฤษ ค้นพบถิ่นที่อยู่ของเพนกวินจักรพรรดิอีกหลายแห่ง ในแอนตาร์กติก หรือ บริเวณขั้วโลกใต้ โดยอ้างอิงจากหลักฐานสำคัญ คือ พิกัดของ "มูลเพนกวิน" ที่บันทึกได้จากอวกาศ

การศึกษาที่ตีพิมพ์เมื่อวันพุธ จากทีมนักวิทยาศาสตร์แห่ง British Antarctic Survey พบที่อยู่อาศัยเพนกวินจักรพรรดิอีก 61 แห่งบริเวณขั้วโลกใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 11 แห่งจากที่เคยทำการสำรวจเอาไว้ โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-2 ของยุโรป ที่ระบุพิกัดของมูลเพนกวิน หรือ กัวโน (guano) ปริมาณมากในพื้นที่เหล่านั้น

ปีเตอร์ เฟรทเวลล์ นักภูมิศาสตร์และหัวหน้าทีมวิจัยของ British Antarctic Survey บอกว่านี่คือข่าวดี เพียงแต่ถิ่นที่อยู่ใหม่ๆที่ค้นพบนั้นเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆเท่านั้น และคิดเป็นสัดส่วนประชากรเพนกวินที่เพิ่มขึ้นมาราว 5-10% ของจำนวนเพนกวินในพื้นที่ จากหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าตอนนี้มีเพนกวินจักรพรรดิอยู่ราว 265,500 – 278,500 คู่ หรือราวครึ่งล้านตัวบริเวณขั้วโลกใต้

เพนกวินจักรพรรดิจะหาคู่ ผสมพันธุ์ และฟักไข่ ในพื้นที่ห่างไกลบริเวณขั้วโลกใต้ ที่อุณหภูมิ -50 องศาเซลเซียส ทำให้นักวิจัยต้องพึ่งพาภาพถ่ายทางอากาศและดาวเทียม เพื่อระบุพิกัดของเพนกวิน และปัจจุบันเพนกวินจักรพรรดิ เป็นหนึ่งในสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากภาวะโลกร้อน ซึ่งทีมวิจัยบางกลุ่มประเมินว่าถิ่นที่อยู่อาศัยของเพนกวินจักรพรรดิอาจหดหายไปมากกว่า 30% ภายในช่วงปลายศตวรรษนี้ได้

อีกด้านหนึ่ง ทีมนักอนุรักษ์ธรรมชาติในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ใช้โดรนอินฟราเรด ช่วยค้นหาหมีโคอาลาที่หลบซ่อนอยู่ในป่า เพื่อช่วยเหลือสัตว์สัญลักษณ์ของออสเตรเลีย ที่คาดว่าอาจสูญพันธ์ไปจากรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในอีก 30 ปีข้างหน้านี้

ปกติแล้วโคอาลาอาศัยอยู่ในป่ายูคาลิปตัส ซึ่งเป็นต้นไม้ให้ที่พักพิงและพวกมันกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหารอีกด้วย แต่ในช่วงฤดูกาลไฟป่าครั้งที่ผ่านมาซึ่งกินระยะเวลายาวนานผิดปกติเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยของหมีโคอาลา ป่ายูคาลิปตัสทั่วทั้งรัฐถูกทำลายลงไปราว 25% รายงานยังระบุด้วยว่าในบางส่วนของนิวเซาท์เวลส์ ไฟป่าทำลายที่อยู่อาศัยของโคอาลามากถึง 81%

ซึ่งนักอนุรักษ์ธรรมชาติในรัฐนิวเซาท์เวลส์ หวังว่าจะใช้โดรนอินฟราเรด ในภารกิจช่วยเหลือโคอาลาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งช่วยระบุพื้นที่อยู่อาศัยของมันตามธรรมชาติ เพื่อเป้าหมายในการอนุรักษ์โคอาลาต่อไป

XS
SM
MD
LG