รายงานสำรวจชิ้นล่าสุดที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศ KPMG ชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจีนรายใหญ่ๆต่างมีแผนจะมาลงทุนในสหรัฐในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัทจีนลงทุนในการควบรวมหรือซื้อกิจการบริษัทในประเทศอื่นคิดเป็นมูลค่าราว 42,600 ล้านดอลล่าร์
ความล้มเหลวของบรรษัทน้ำมันนอกเขตชายฝั่งแห่งชาติจีนหรือ CNOOC ในการเข้าซื้อกิจการบริษัท Unocal ของสหรัฐเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก่อให้เกิดคำถามถึงความสามารถในการทำข้อตกลงฉบับใหญ่ๆของบริษัทจีน แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าตั้งแต่นั้นมา บริษัทจีนได้พัฒนาความเฉียบแหลมทางธุรกิจและอาศัยความได้เปรียบจากภาวะเศษฐกิจถดถอยในสหรัฐ เพื่อจัดทำสัญญาการลงทุนมูลค่ามหาศาลหลายฉบับ
เมื่อเดือนตุลาคม บริษัท CNOOC ลงทุน 1 พันล้านดอลล่าร์ซื้อกิจการแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในรัฐเท็กซัส อีกด้านหนึ่งธนาคารใหญ่ที่สุดในจีน ICBC ซื้อกิจการบริษัทค้าหลักทรัพย์รายหนึ่งในนครนิวยอร์ค
เดือนกรกฎาคม บริษัทจีนเข้าซื้อกิจการบริษัท Nexteer Automotive ในรัฐมิชิแกนซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของบริษัทรถยนต์ General Motors สร้างความขุ่นเคืองต่อพนักงานของ Nexteer ที่กลัวว่าจะตกงานหากโรงงานต้องย้ายไปยังประเทศจีน และพนักงานบางส่วนไม่พอใจที่บริษัทซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐต้องตกอยู่ในการควบคุมบริหารของคนจีน อย่างไรก็ตาม ต่อมาบริษัทได้จ้างวิศวกรเพิ่มขึ้นกว่า 100 คนนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเช่นคุณ Derek Scissors แห่งสถาบันวิจัยด้านนโยบาย Heritage Foundation ในกรุงวอชิงตัน เชื่อว่าการที่บริษัทจีนแห่เข้ามาลงทุนในอเมริกานั้น เป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ คุณ Scissors ชี้ว่าประโยชน์สำหรับอเมริกาคือการจ้างงานเพิ่มขึ้น ไม่ต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ประโยชน์ต่อจีนคือสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ในสหรัฐ ซึ่งจีนมักจะยินดีจ่ายเงินมหาศาลแลกกับทรัพยากรเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองและนักธุรกิจอเมริกันบางคนวิจารณ์ว่า แม้จีนจะต้องการลงทุนในสหรัฐมากมาย แต่ในทางกลับกัน จีนกลับพยายามกีดกันไม่ให้บริษัทสหรัฐเข้าไปลงทุนในจีน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ Gary Locke บอกว่าต้องการเห็นความสัมพันธ์ในลักษณะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างตอบแทนมากขึ้นกับจีน และสหรัฐต้องการให้จีนเปิดตลาดในประเทศมากขึ้นตามคำมั่นที่ให้ไว้เมื่อครั้งเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก และรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐยังระบุด้วยว่าประเด็นนี้จะถูกหยิบยกมาหารือในการประชุมระหว่างผู้แทนการค้าของสองประเทศที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 13 ธันวาคมนี้
