ลิ้งค์เชื่อมต่อ

อุตสาหกรรมผลิตอาวุธญี่ปุ่นอยู่ในภาวะย่ำแย่ แม้รัฐบาลเดินหน้าขยายสรรพกำลัง


Japan Defense Industry
Japan Defense Industry
Business News
please wait

No media source currently available

0:00 0:05:20 0:00


ขณะที่ญี่ปุ่นพยายามเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถและสรรพกำลังสำหรับยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองอยู่นี้ อุตสาหกรรมผลิตอาวุธในประเทศเองกลับไม่ได้อานิสงก์จากกระแสดังกล่าว ทั้งยังตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ด้วยซ้ำ ตามรายงานของสำนักข่าว เอพี

ในเวลานี้ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นกำลังต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ที่ความทันสมัย ซึ่งสหรัฐฯ สามารถผลิตและจำหน่ายได้ เพื่อนำไปปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การป้องกันตนเองจากที่เคยเน้นภัยคุกคามทางตอนเหนือของประเทศที่อาจมาจากรัสเซีย มาเป็นการระวังภัยทางตอนใต้ซึ่งมีรายงานการรุกน่านฟ้าและน่านน้ำโดยเครื่องบินรบและเรือรบจีน รวมทั้งการทดสอบยิงขีปนาวุธโดยเกาหลีเหนืออยู่ตลอด

แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ กลายมาเป็นปัญหาสำหรับผู้ผลิตยุทโธปกรณ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ไอเอชไอ (IHI Corp) และ คาวาซากิ เฮฟวี่ อินดัสตรีส์ (Kawasaki Heavy Industries) ที่ไม่สามารถขายรถถัง เครื่องบินรบ และเรือรบรุ่นที่พัฒนาสำหรับศตวรรษที่ 20 ได้ และจำเป็นต้องหาทางพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการทางทหารที่กำลังมองหา เครื่องบินที่ไม่ต้องใช้นักบิน ซึ่งบริษัท นอร์ทรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) ของสหรัฐฯ พัฒนาสำเร็จแล้ว หรือ เรือดำน้ำแบบที่ไม่ต้องใช้คนบังคับที่บริษัท โบอิ้ง (Boeing) ผลิตได้แล้ว เป็นต้น

รายงานข่าวระบุว่า ญี่ปุ่นไม่เคยรุกเข้าตลาดค้าอาวุธในต่างประเทศได้สำเร็จเลย เนื่องจาก ไม่มีความสามารถในการแข่งขันเพียงพอ ทั้งยังมีราคาที่สูง แต่ใช้เทคโนโลยีที่ล้าสมัย และรัฐบาลกรุงโตเกียวก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนสักเท่าใด ส่งผลให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นค่อยๆ ถอนตัวออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปทีละรายๆ

เฮอิโกะ ซาโตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการกลาโหมและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยทาคุโชคุ บนเกาะซัปโปโร ให้ความเห็นว่า ผู้คนมักคิดว่า ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยและน่าจะสามารถเกาะกลุ่มประเทศผู้ผลิตอาวุธอื่นๆ เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้ ถ้าตั้งใจลงมือทำจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ญี่ปุ่นไม่ได้ทำได้เช่นนั้นเลย ขณะที่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ญี่ปุ่นผลิตได้ก็ไม่ใช่สินค้าคุณภาพอันดับหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครต้องการจะยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้ออาวุธที่มีคุณภาพเป็นรองเลย

อันที่จริง รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดจั้งหน่วยงานดูแลด้านการควบรวมกิจการ เทคโนโลยีและโลจิสติกส์ (Acquisition, Technology & Logistics Agency) มาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2015 เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศและส่งเสริมงานวิจัยเทคโนโลยีร่วม รวมทั้งการพัฒนาและการขายให้กับประเทศอื่นๆ แต่สภาวะกำไรหดหายในตลาดในประเทศ ผนวกกับการที่รัฐบาลกลับไปใช้งบสั่งซื้ออาวุธใหม่ๆ ราคาแพงจากสหรัฐฯ ทำให้แผนงานดังกล่าวไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด

APTOPIX Japan Defense
APTOPIX Japan Defense

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลก และมีส่วนแบ่งการซื้อในตลาดโลกที่ราว 2.2% โดยการนำเข้าส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ตามรายงานของสถาบันวิจัย Stockholm International Peace Research Institute

นับตั้งแต่พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มา ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมีความระแวงเกี่ยวกับการสั่งสมกำลังอาวุธทางทหารในประเทศอย่างมาก ขณะที่ รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้หลังสิ้นสุดสงครามก็จำกัดให้ญี่ปุ่นมีได้เพียงกองกำลังป้องกันตนเอง โดยคำสั่งห้ามการส่งออกอาวุธของญี่ปุ่นเพิ่งจะถูกยกเลิกไปเมื่อปี ค.ศ. 2014 นี่เอง

นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเองไม่ค่อยเต็มใจที่จะเข้าร่วมงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอาวุธที่อาจนำไปสู่การใช้งานทางทหารสักเท่าใด

และนับตั้งแต่มีการจัดตั้งหน่วยงานดูแลด้านการควบรวมกิจการ เทคโนโลยีและโลจิสติกส์ ญี่ปุ่นเพิ่งขายเทคโนโลยีเรดาร์สังเกตการณ์ไปได้เพียงรายการเดียว โดยผู้ซื้อคือ ฟิลิปปินส์ ขณะที่ การเดินหน้าเจรจาขายครั้งต่อๆ มาประสบความล้มเหลวต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึง ความพยายามที่จะขายระบบเรดาร์ให้กับประเทศไทย และกองเรือรบให้กับอินโดนีเซีย

ความเป็นจริงที่ว่า อุตสาหกรรมอาวุธของญี่ปุ่นนั้นออกตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการขาดทั้งความสามารถทางการตลาดและเทคโนโลยีอย่างเช่นที่สหรัฐฯ หรือประเทศผู้ส่งออกอาวุธชั้นนำอื่นๆ มี

ขณะที่ รัฐบาลและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาวุธยังไม่ยอมหมดหวัง และเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่นี้ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ญี่ปุ่นควรต้องเร่งระดับความสามารถในการแข่งขัน และมีความแข็งขันหนักขึ้น รวมทั้งเข้าหาลูกค้าพร้อมข้อเสนอด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายให้มากขึ้นเพื่อให้อุตสาหกรรมนี้อยู่รอดต่อไป

(ที่มา: สำนักข่าว เอพี)

XS
SM
MD
LG