แม้ราคาทองคำได้เพิ่มขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกันจนขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1,236 ดอลล่าร์ต่อออนและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ปรากฎว่าความต้องการทองคำจะลดลงแต่อย่างใด คุณ Marcus Grubb แห่งสภาทองคำโลกชี้ว่าสาเหตุที่ทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก คือคนอินเดียได้ซื้อหรือเก็บสะสมทองมากขึ้นในช่วงเวลานี้ซึ่งเป็นช่วงก่อนเทศกาลสำคัญประจำปีในอินเดีย นอกจากนี้ยังเป็นเพราะธรรมชาติของนักลงทุนที่มักจะคึกคักกระฉับกระเฉงในช่วงที่ราคาทองคำผันผวนไม่แน่นอน
คุณ Grubb กล่าวว่า หากราคาทองคำตกลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,200 ดอลล่าร์ เช่นอาจจะต่ำกว่าประมาณ 50-100 ดออลล่าร์ จะทำให้ความต้องการซื้อทองคำในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สภาทองคำโลกคาดการณ์ว่าราคาทองจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปตลอดช่วงปลายปีนี้ เนื่องมาจากความต้องการสูงมากในประเทศจีน โดยจีนเพิ่งจะยกเลิกกฎเกณฑ์ควบคุมการซื้อทองคำของประชาชน ทำให้ในขณะนี้คนจีนสามารถซื้อหาทองคำได้อย่างเสรี นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังอนุญาตให้ธนาคารจีนซื้อขายทองคำได้เพื่อสนับสนุนให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้น นักลงทุนบางคนเชื่อว่าการที่จีนสามารถเข้าสู่ตลาดทองคำได้อย่างเสรีนี้ อาจทำให้ราคาทองคำโลกดีดตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1,300 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ในช่วงไม่นานนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนบางคนไม่เห็นเช่นนั้น คุณ Justin Stewart ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระบุว่าทองเป็นเพียงสินค้าชนิดหนึ่งเท่านั้น ผู้จัดการการลงทุนผู้นี้กล่าวว่าแม้ทองคำจะมีแรงดึงดูดน่าซื้อหาน่าลงทุน แต่สำหรับตนเห็นว่าทองเป็นเพียงตุ๊กตาหมีทางการเงินที่คุณสามารถโอบกอด ลูบคลำหรือทุบตีได้ตามแต่ใจ หรือจะวางไว้ข้างๆหมอนก็ได้ แต่จะไม่ก่อให้เกิดดอกออกผลใดๆ พูดง่ายๆก็คือคุณเอาเงินไปแขวนไว้กับความผันผวนของความต้องการที่ไม่สามารถคาดเดาได้
ถึงกระนั้นก็ดี สำหรับผู้คนจำนวนมาก ทองคำยังคงเป็นการลงทุนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ความเสี่ยงน้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กังวลกับภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนสถานการณ์เศรษฐกิจและภาระหนี้ของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างๆ
