ชัยชนะของทีมเสื้อสีฟ้าตราไก่ "ฝรั่งเศส" เหนือทีมตราหมากรุก "โครเอเชีย" ในศึกเวิลด์คัพปีนี้ นับเป็นความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศสครั้งแรกในรอบ 20 ปี
และก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้เล่นคนสำคัญๆ ที่มีส่วนช่วยให้ทีมชาติฝรั่งเศสประสบความสำเร็จนั้นเป็นผู้อพยพผิวสี ซึ่งได้สัญชาติฝรั่งเศสจากการโอนสัญชาติ เพราะกว่าครึ่งของนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสไม่ได้ถือกำเนิดในฝรั่งเศส
ซึ่งก็คล้ายกับเมื่อปี ค.ศ. 2541 ครั้งสุดท้ายที่ฝรั่งเศสได้ครองแชมป์บอลโลก เพราะในครั้งนั้น บรรดาผู้เล่นทีมชาติฝรั่งเศสมีทั้งนักเตะผิวขาว ผิวดำ และผู้ที่อพยพเข้าประเทศจากทวีปแอฟริกา
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกอิ่มเอมเกี่ยวกับเอกภาพทางสังคมและเชื้อชาติจากชัยชนะของทีมฝรั่งเศสเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ดูจะไม่ยั่งยืนนัก เพราะในช่วงหลังนี้ ฝรั่งเศสมีปัญหาทางสังคม ทั้งในเรื่องการจลาจลโดยเยาวชนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจากพื้นที่ยากจน การประท้วงเกี่ยวกับการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ เหตุการณ์รุนแรงจากผู้ก่อการร้ายซึ่งถือกำเนิดและก่อตัวขึ้นในฝรั่งเศสเอง รวมทั้งการผงาดขึ้นมามีบทบาทและอำนาจทางการเมืองของพรรคการเมืองแนวทางขวาจัดของฝรั่งเศสด้วย
นายโดมินิค โซโป ประธานกลุ่มต่อต้านการแบ่งแยกปฏิบัติ ชื่อ SOS Racisme ชี้ว่า ในขณะนี้เยาวชนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยต่างชาติพันธุ์ของฝรั่งเศส มักถูกมองด้วยสายตาที่เป็นปฏิปักษ์ เขาบอกว่าคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชานเมืองที่ยากจน ไร้บริการขั้นพื้นฐาน และถูกตัดสิทธิทั้งในเรื่องการเดินทางคมนาคมเพื่อไปหางานทำ และในด้านความรู้สึกและจิตใจ
และถึงแม้ประธานาธิบดีมาคร็องของฝรั่งเศส จะให้การต้อนรับทีมนักเตะต่างเชื้อชาติของฝรั่งเศสอย่างยิ่งใหญ่ที่พระราชวังเอลิเซก็ตาม แต่นักวิจารณ์ก็ตำหนิว่า ผู้นำฝรั่งเศสยังไม่ได้ทำอะไรมากพอเพื่อให้โอกาสแก่เยาวชนคนกลุ่มน้อยของฝรั่งเศสที่ถูกละเลยเหล่านี้
โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมาคร็องบอกปัดแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะปรับปรุงและเปลี่ยนโฉมเขตพื้นที่ยากจนชานเมือง นอกจากนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสยังมีแผนที่จะปราบปรามเรื่องผู้อพยพเข้าประเทศด้วย
คุณโดมินิค โซโป จากองค์การ SOS Racisme ชี้ว่า ภาพลักษณ์จากชัยชนะของทีมชาติฝรั่งเศสในเกมฟุตบอลโลก คงจะไปได้ไม่ไกล หากผู้นำทางการเมืองไม่ตั้งใจจะให้โอกาสแก่สมาชิกชนกลุ่มน้อยในสังคมอย่างแท้จริง