ภายหลังจาก Standard & Poor’s ลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของ 9 ประเทศในกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งฝรั่งเศสซึ่งถูกลดอันดับลงหนึ่งอันดับจาก AAA เป็น AA+ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝรั่งเศส Francois Baroin ออกมายืนยันข่าวดังกล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ในฝรั่งเศสเมื่อคืนวันศุกร์ โดยบอกว่าตนค่อนข้างแปลกใจกับข่าวนี้ แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเกิดขึ้น
รัฐมนตรี Baroin กล่าวว่าการที่ฝรั่งเศสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินถือเป็นข่าวร้าย แต่ก็ไม่ใช่หายนะ เพราะความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสยังอยู่ในระดับดีเยี่ยม การปรับลดความน่าเชื่อถือทางการเงินครั้งนี้เป็นเพียงการยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลของประเทศในกลุ่มยูโรโซนต้องเร่งแก้ไขปัญหาการเงินโดยเร็ว และว่าฝรั่งเศสไม่ใช่ประเทศเดียวที่ถูก Standard & Poor’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้
ฝรั่งเศสและอีก 4 ประเทศลูกลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินลงหนึ่งอันดับ ขณะที่อีก 4 ประเทศได้แก่ อิตาลี สเปน ปอร์ตุเกสและไซปรัสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 2 อันดับ โดย Standard & Poor’s ให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่ผู้นำประเทศในยุโรปจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์หนี้ของกลุ่มยูโรโซนได้ และว่ามีโอกาสราว 40% ที่เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะหดตัวลงประมาณ 1.5% ปีนี้
เชื่อว่าการที่ฝรั่งเศสถูกลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินจะส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของประธานาธิบดี Nicolas Sarkozy ไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งทางคู่แข่งของประธานาธิบดี Sarkozy ต่างออกมาตอกย้ำข่าวนี้ เช่นคุณ Marine Le Pen ผู้กล่าวหาว่าประธานาธิบดี Sarkozy มีส่วนที่ทำให้ฝรั่งเศสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้นำต้องปกป้องฝรั่งเศสผ่านนโยบายปกป้องผลประโยชน์เฉพาะตัวอย่างมีเหตุผล
ด้านนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าข่าวการปรับลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของหลายประเทศในยุโรปถือเป็นข่าวร้ายก่อนหน้าการประชุมสุดยอดของผู้นำยุโรปครั้งแรกของปีนี้ แต่คุณ Laurent Maruani แห่ง HEC Business School ในกรุงปารีส เชื่อว่าผลกระทบจากข่างนี้ไม่รุนแรงดังที่คาดกันไว้ เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายประเทศที่ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินเช่นกัน
คุณ Laurent Maruani ระบุว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินมิได้มีอำนาจที่แท้จริง ไม่มีความน่าเชื่อถือที่แท้จริง ดังนั้นการที่ประเทศต่างๆถูกลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินจึงแทบไม่มีผลกระทบใดๆ แต่อย่างน้อยที่สุดนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าต้นทุนการกู้ยืมเงินของประเทศเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
