ผู้ป่วยที่ไปพบคุณหมอเด็ฟนี่ มิลเล่อร์ มักจะกลับบ้านไปด้วยสูตรอาหารที่ช่วยบรรเทาอาการป่วยแทนที่จะเป็นใบสั่งยาแผนปัจจุบัน
คุณรอนนี่ แซมสั้น อายุ 52 ปี ป่วยด้วยโรคระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติโดยไปทำร้ายอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย แพทย์ประจำตัวให้คนไข้รับประทานยากดระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่ใช้ได้ผล แต่มีผลข้าง เคียงคือทำให้ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวเพิ่มและมีอาการเบาหวาน
เขาเริ่มไปพบหมอเด็ฟนี่ มิลเลอร์ในปลายปีพุทธศักราช 2544 คุณหมอมิลเล่อร์ศึกษาประวัติการใช้ยารักษาโรคแผนปัจจุบันของคุณแซมสั้น ประกอบกับข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขาด้วย ก่อนจะออกแบบสูตรการรักษาด้วยหลักโภชนาการและการออกกำลังกายเพื่อปรับปรุงให้สุขภาพผู้ป่วยดีขึ้นและลดการพึ่งยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคอยู่ลง
คุณแซมสั้นกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า ปกติแพทย์ประจำตัวของเขาเน้นการรับประทานยารักษาโรคตามกำหนด แต่วิธีการรักษาแบบผสมผสานระหว่างยารักษากับวิธีการดำเนินชีวิตที่หมอมิลเล่อร์ใช้ให้สุขภาพของเขาดีขึ้น หลังจากเริ่มรับประทานอาหารตามสูตรที่หมอสั่งและออกกำลังกายเป็นประจำ คุณแซมสั้นสามารถลดปริมาณยากดระบบภูมิคุ้มกันที่ต้องรับประทานลงไปได้ครึ่งหนึ่งและรักษาอาการเบาหวานจนดีขึ้น เขายังพบหมอมิลเล่อร์ปีละสองหนเพื่อติดตามการรักษาและตรวจร่างกาย
คุณหมอเด็ฟนี่ มิลเล่อร์กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าก่อนเปิดคลีนิครักษาโรคผสมผสานวิธีแผนโบราณนี้ ตนได้เดินทางไปรอบโลกนานสามปีเพื่อค้นหาการรักษาโรคแผนโบราณด้วยสูตรอาหารต่างๆที่บรรพบุรุษของคนในแต่ละพื้นที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาอาการป่วยต่างๆในสมัยโบราณ
หมอมิลเล่อร์บอกว่ารู้สึกทึ่งมากเมื่อพบว่าคนในแต่ละวัฒนธรรมมีวิธีการรักษาโรคด้วยการโภชนาการที่แตกต่างกัน ในประเทศ Iceland คนที่นั่นจะทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมหลัก หมอมิลเล่อร์ค้นพบว่าคนไอซ์แลนด์รับประทานอาหารปรุงด้วยเนื้อปลาที่มีปริมาณน้ำมันโอไมก้า 3 ในระดับสูงเพื่อใช้รักษาอาการซึมเศร้า
ส่วนในเมือง Okinawa ของญี่ปุ่น หมอมิลเลอร์พบว่า คนที่นั่นจะเน้นทานผักประเภทต่างๆในปริมาณมากๆ ส่วนที่แอ่งภูเขา Copper Canyon ในเม็กซิโก คนท้องถิ่นจะทานอาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดขาวที่ให้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก
หลังจากการเดินทางค้นหาสูตรการรักษาโรคแผนโบราณด้วยอาหารตามธรรมชาติสิ้นสุดลง หมอเด็ฟนี่ มิลเล่อร์เริ่มพัฒนาสูตรการรักษาแนวนี้ในคลีนิคส่วนตัวที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอได้ปรับสูตรอาหารรักษาโรคต่างๆที่พบให้เข้ากับส่วนผสมที่หาได้ง่ายในย่านที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยเพื่อช่วยให้คนไข้ได้ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่แม้ว่าหมอเด็ฟนี่จะใช้อาหารเป็นตัวช่วยป้องกันและการรักษาโรคสมัยใหม่ เธอยังเชื่อว่ายาแผนปัจจุบันมีความจำเป็นในการรักษาโรคอยู่
หมอมิลเล่อร์กล่าวว่าในบางกรณีเธอเห็นว่าอาหารสามารถใช้รักษาแทนยาได้ แต่มีบางกรณียังต้องใช้ยาแผนปัจจุบันเป็นหลักและใช้อาหารช่วยเสริมให้ผลการรักษาดีขึ้น เธอถือว่านี่คือศิลปะแห่งศาสตร์การแพทย์ ในสหรัฐอเมริกามีแพทย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่เห็นด้วยการวิธีการรักษาแนวนี้
มีการวิจัยหลายต่อหลายชิ้นที่ชี้ว่าคนเราควรเน้นการรับประทานอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง
